หน้าเว็บ

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ควันหลงน้ำท่วม

การเกิดน้ำท่วมภาคใต้คราวนี้ถือว่าหนักมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และฝนตกมากกว่าทุกครั้งดังปริมาณน้ำฝนที่วัดได้ เมื่อดูปริมาณน้ำจากวิดีโอและภาพถ่ายทางอากาศแล้วนั้นอาจกล่าวได้ว่า ถึงแม้ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าน้ำก็ยังท่วมอยู่ดี เพียงแต่ว่าอาจจะลดความรุนแรงของน้ำลงไม่ไห้ไหลรุนแรงมากเกินไป ที่จะทำให้บ้านเรือนพังเสียหายจนหนีไม่ทันนั้นก็อาจเกิดได้น้อยกว่านี้


ส่วนการสร้างสิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำทำให้น้ำไหลระบายไปไม่สะดวกก็ทำให้น้ำท่วมขังอยู่นานขึ้นก็เป็นไปได้ ปกติแล้วน้ำจะไหลจากที่สูงลงที่ต่ำตามแรงความโน้มถ่วงเมื่อมีอะไรมาขวางทางน้ำ น้ำก็ยังคงพยายามเคลื่อนไปในทางที่เห็นว่าสะดวกคล่องตัวที่สุดเสมอ ในประเด็นนี้น่าจะนำมาเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ว่าการเคลื่อนที่ของน้ำไปข้างหน้านั้นโดยธรรมชาติของมันก็พยายามหาเส้นทางที่ดีที่สุดเหมาะสมที่สุด เมื่อฝนตกหนักแต่ละครั้งเราก็จะเห็นว่าเส้นทางที่น้ำจะไหลมารวมตัวกันอยู่ ณที่ใด ซึ่งก็คงเดาทายกันได้ว่าคือที่ต่ำ ใครที่สร้างสิ่งปลุกสร้างที่เป็นทางผ่านลงไปสู่ที่ต่ำ จากแหล่งน้ำขนาดใหญ่เช่นป่าจากภูเขาหรือเทือกเขาใหญ่ หากป่าถูกทำลายมากแล้วละก็น้ำก็ไม่มีอะไรมาขวางกั้น ยิ่งมีปริมาณมากก็ยิ่งเคลื่อนตัวลงมาเร็วและแรงจะกัดเซาะสิ่งก่อสร้างที่ผ่านไปให้พังทะลายไปได้ ดังที่เราจะเห็นตัวอย่างในคราวนี้ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง ทางรถไฟ บ้านเรือนที่ขวางทางน้ำ


การเกิดน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก หากฝนตกเป็นระยะเวลานาน และตกหนักด้วยแล้วมักตามมาด้วยแผ่นดินถล่ม ดินโคลนเคลื่อนไถลมาทับสิ่งปลูกสร้างต่างๆ หากชลาใจว่าไม่รุนแรงแล้วก็อาจทำความเสียหายถึงชีวิตเพราะหนีไม่ทัน เช่นเดียวกับการเกิดสึนามิ ผลของการเลือกเส้นทางเดินที่เหมาะสมของน้ำ ก็จะก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ใหม่ๆตามมา ด้วยการเคลื่อนตัวของน้ำปริมาณมากๆ ได้พัดพาเอาทรายหินดิน มาด้วย อาจก่อให้เกิดลำน้ำใหม่ เนินดินใหม๋ หรืออาจก่อให้เกิดหาดทรายใหม่ ที่ที่เคยสร้างบ้านอาศัยอยู่ ก็อาจไม่สามารถที่จะสร้างบ้านอยู่ได้อีกต่อไป  คิดให้ดีก็เหมือนกับธรรมชาติจะบอกว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน ที่มนุษย์คิดว่าจะเอาชนะธรรมชาติโดยอาศัยเทคโนโลยีนั้น ธรรมชาติก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่มีพลังใดยิ่งใหญ่กว่าพลังจากธรรมชาติ


หากคิดว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อาจคิดได้ว่าว่าการกระทำของมนุษย์เป็นการกระทำกับธรรมชาติให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป ย่ิ่งมนุษย์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใดก็ย่อมทำให้เกิดการปั่นป่วนมากขึ้นเท่านั้น ในรูปของพายุ แผ่นดินไหว ความแห้งแล้ว บางบริเวณ และฝนตกหนักบางบริเวณ จากคำกล่าวโบราณในลัทธิเต๋าที่บอกว่า "การสงบนิ่งสยบความเคลื่อนไหว" นั้นเป็นเรื่องน่าคิด เพราะถ้าเราสงบนิ่งหรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความปั่นปวนแปรปรวนน้อย การเกิดภัยพิบัติต่างๆ ก็ย่อมน้อยลงไปเอง


ก่อนที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ภาคใต้ ก็เกิดมหันตภัยแผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น เราได้เห็นความสมานสามัคคีกลมเกลียวกันของคนญี่ปุ่นในการแก้ปัญหาภัยพิบัติ จากคำบอกเล่า และข่าวที่ออกมานั้น เราได้เห็นความเป็นระเบียบวินัยเป็นอย่างสูง ไม่มีการฉกชิงวิ่งราวการับแจกแบ่งปันน้ำอาหาร มีการเข้าคิวกับมารับแจกสิ่งของอย่างไม่ย่อท้อแม้ว่าอากาศจะหนาวเหน็บเพียงใดเป็นไปด้วยความมีระเบียบเรียบร้อย และบ้านเรือนก็ไม่ถูกปล้นสะดมเมื่อต้องละทิ้งบ้านเรือนชั่วคราว เมื่อหันมาดูประเทศไทยโดยภาพรวมก็อาจเปรียบเทียบกันไม่ได้ เรายังไม่ประสานพร้อมเพียงกันทั้งประเทศที่แสดงให้เห็นถึงความรักสามัคคีแบบญ่ี่ปุ่น ยังมีสื่อมวลชนออกมาเหมือนกับจะตำหนิรัฐบาลที่ช่วยเหลือได้ไม่ทันท่วงที รวมทั้งบางพรรคการเมืองก็ยังมีการเสียดสีการดำเนินงานของรัฐบาล


ผู้เขียนไม่ทราบได้แน่ชัดว่ารัฐบาลญี่ปุ่นมีการช่วยเหลือประชาชนอย่างไร ที่เขามีแตกต่างจากเราเท่าที่เคยได้ไปสัมผัสเคยไปอยู่อาศัยในประเทศญี่ปุ่นปีกว่า คือการมีท้องถิ่นชุมชนที่เข้มแข็งที่สามารถที่จะดูแลตัวเองได้ ช่วยเหลือกันเองก่อนที่ส่วนกลางจะมาช่วยเหลือ เทียบกับประเทศไทยแล้วเราอาจยังห่างเขาหลายขุม เพราะทุกเมืองญี่ปุ่นจะมีการเตือนภัย และสร้างแหล่งหลบภัยมีการซ้อม เพื่อทดสอบการใช้งานของระบบเตือนภัย และประชาชนก็ให้ความร่วมมืออย่างดี โชคดีที่เราได้เห็นการช่วยเหลือตัวเองของญี่ปุ่นทำให้เราเกิดกำลังใจที่จะช่วยเหลือตัวเอง คนในเมืองก็เข้าใจคนที่อยู่นอกเมืองที่ประสบภัยมากขึ้น จึงได้ยินคนเมืองหลายคนพูดว่าให้ไปช่วยคนที่ลำบากกว่า


การแจกของช่วยเหลือน้ำท่วมคราวนี้ เป็นสองละลอกเพราะน้ำท่วมใหญ่สองครั้ง  ก็มีเสียงบ่นว่าการแจกจ่ายของจำเป็นสำหรับยังชีพที่จำเป็นไม่ทั่วถึง บางที่ก็ไปกระจุกตัว มากันหลายครั้ง บางที่ก็ไม่เห็นมีใครมาแจก จากการให้สัมภาษณ์ของผู้ประสบภัยน้ำท่วม บางครั้งก็ฟังดูเหมือนกับว่าตำหนิว่าไม่มีใครมาเหลียวแล ยังไม่ค่อยได้ยินได้ฟังว่าได้พยายามช่วยเหลือตัวเองอย่างไรบ้างที่ไม่รอผู้อื่นมาช่วย ชุมชนท้องถิ่นช่วยเหลือกันเองอย่างไร แต่ก็มีบางที่บอกว่าน้ำสูงเกือบมิดศีรษะ ไม่มีใครนำสิ่งของมาแจกจ่าย ต้องว่ายน้ำไปขนข้าวสารเรือท้องแบนก็ไม่มี กำนันผู้ใหญ่บ้านก็ไม่มีใครนำมาแจก ก็พยายมคิดให้ว่า ผู้ที่จะมาแจกก็อาจคิดว่าอบพยบกันไปหมดแล้วเพราะน้ำท่วมสูงขนาดนั้นไม่น่าจะมีใครอยู่


ในบางท้องที่น้ำได้ลดลงไปแล้วไม่ได้เดือดร้อนอะไรแต่ก็มีคนนำสิ่งของไปแจกจ่าย ซึ่งดูๆ ก็ไม่น่าจะเดือดร้อนมากมายนักแต่ก็ได้รับการแจกจ่าย บางคนก็ไม่ยอมรับของแจกจ่ายเพราะไม่ได้เดือดร้อนจากน้ำท่วม แต่ก็มีอีกหลายคนก็รับของแจกไว้ทั้งๆที่ไม่ได้เดือดร้อนจากน้ำท่วมเลย หากคิดได้ว่ายังมีคนที่เดือดร้อนจริงๆอีกมาก แล้วนำไปให้ญาติคนรู้จักที่เดือดร้อนจริงๆ ก็จะเป็นกุศลมากกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น