สมัยหนึ่ง ทีซี สโนว์ เคยพูดว่าโลกเราแบ่งแยกด้วยวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ กับวัฒนธรรมที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ และต่อมาก็มีคนพูดว่าโลกเราแบ่งกันด้วยโลกที่เข้าถึงดิจิทัลได้ กับโลกที่ยังเข้าถึงดิจิทัลได้น้อย เป็นเหมือนดัชนีชี้วัดความเจริญในทุกทางไปด้วย และที่แน่นอนโลกในชีวิตประจำวันในปุจจุบันของเรายากที่จะหลีกเลี่ยงดิจิทัล เพราะดูเหมือนว่าเครื่องมือเครื่องใช้ทีอาศัยดิจิทัลจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า แบบที่ไม่ใช้ดิจิทัล
ความจริงดิจิทัลนั้นก่อกำเนิดมาพร้อมๆ กับการพัฒนาคอมพิวเตอร์ที่เราเรียกอีกอย่างว่าเจ้าเครื่องสมองกล ที่มนุษย์ได้เพียรพยายามพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้มันทำหน้าที่ที่เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายสำหรับมนุษย์เช่นการคำนวณตัวเลข การจำข้อมูลจำนวนมาก ตลอดจนการตัดสินใจทำงานบางอย่างได้ตามคำสั่งที่มนุษย์เขียนไว้ให้คอมพิวเตอร์ทำงานโดยอัตโนมัติ กว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ดังที่ใช้กันในปัจจุบัน จากเครื่องใหญ่โตมโหฬารมาเป็นเครื่องขนาดเล็กจิ๋วได้ และคงใช้หลักการในการสร้างวงจรอิเลคทรอนิกส์เดียวกันนั่นก็คือ การใช้หลักการของตัวเลขฐานต่างๆ จึงเป็นที่มาของคำว่าดิจิทัล (Digital) ซึ่งแปลว่าตัวเลข ที่นำไปใช้ในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลขฐานสองที่มีแต่เลข 0 และ 1 เท่านั้นที่ใช้ในการทำงานภายในวงจรเกือบทุกอย่างก่อนที่จะได้ผลลัพธ์ออกมา
ดังนั้นเราจะเห็นถึงความง่ายในการสร้างวงจรให้แทนเลข 1 แล 0 เพราะแค่มีสวิตช์เพียงตัวเดียวก็สามารถแทนเลข 0 และ เลข 1 ได้แล้วและการทำงานในระบบดิจิทัลทุกอย่างนั้นอาศัยวงจรพืนฐานทางตรรกะ 3 อย่างที่เรียกว่าวงจรเกต NOT, AND และ OR และน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่งที่วงจรพื้นฐานง่ายๆ ทั้งสามจะนำมาประกอบกันเป็นวงจรดิจิทัลที่ซับซ้อนดังในเครื่องคิดเลข และเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
จะขอยกตัวอย่างการเปลี่ยนมาใช้ระบบดิจิทัลของทีวี จากทีวีที่ใช้หลอดแคโถดเรย์ในจอภาพทีวี (Cathod Ray Tube:CRT) ซึ่งถือว่าเป็นระบบแอนะล็อกที่ใช้คุณบัติทางฟิสิกส์ในการควบคุมสัญญาณแสดงภาพด้วยลำอิเลคตรอนที่ไปตกกระทบสารที่ผิวในของหลอดภาพ แต่ในระบบดิจิทัลจะใช้คุณสมบัติทางตัวเลข 0 และ 1 เป็นสัญญาณไปยังจอภาพ LCD (Liquid Crystal Display) จะเห็นความแตกต่างชัดเจนว่าจอภาพทีวีที่ใช้ระบบดิจิทัลจะจะให้ความคมชัดมากกว่า มีน้ำหนักเบากว่า สิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่าเป็นต้น แนวโน้มทีวีในอนาคตคงจะเปลี่ยนเป็นทีวีดิจิทัลรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งนอกจากจะเป็น LCD
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น