หน้าเว็บ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประวัติศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประวัติศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

Kingdom of Heaven

ถ้าแปลตามตัวก็คืออาณาจักรของพระเจ้า เป็นชื่อภาพยนต์เรื่องหนึ่ง ที่สะท้อนภาพประวัติศาสตร์ส่งครามระหว่าง คริสต์กับมุสลิม ทำสงครามต่อเนื่องยาวนานนับ 200 ปี กรุงเจรูซาเลมมีการเปลี่ยนเปลี่ยนมือการปกครองระหว่าง ชาวคริสต์ และ มุสลิม  แต่สุดท้ายชาวยิวได้ยึดครองไปในปัจจุบัน ซึ่งยังก่อให้เกิดสงครามได้จนถึงปัจจุบัน

ตามประวัติในภาพยนต์ทั้งสองฝ่ายคู่กรณีได้สร้างนักรบผู้กล้า วีรบุรุส อัศวินกันทั้งสองฝ่ายผลัดกันแพ้ชนะ ฝ่ายคริสต์ก็คือรบชนะกับกองทัพที่ยิ่งใหญ่ ขณะที่ฝ่ายมุสลิมก็มีซาลาซินที่ได้รวบรวมไพร่พลสำเร็จไปตีกรุงเจรูซาเล็มได้สำเร็จ ในสงครามคูเสด ที่ชาวคริสต์ตีจารูซาเล็มสำเร็จและฆ่าผู้คนไปมาก ตามประวัติศาสตร์ตอนนี้ซาลาซินได้ยกย่องซาลิซินที่เข้าตีเมืองล้อมเจรูซาเล็มไว้กลับไม่ฆ่าผู้คน กลับเจรจาไม่ฆ่า โดยยึดหลักศาสนาที่ไม่ฆ่าผู้ยอมจำนน จนได้รับย่อย่องว่าเป็นอัศวินอัศจรรย์ทีเดียว

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

ย้อนรอยอดีตเมืองนครศรีธรรมราช

อ่านบทความที่เขียนโดยคุณชาลี ศิลปรัศมี ในนครศรีธรรมราชปีที่ 40 ฉบับที่ 6 เดือนมิถุนายน 2553 ซึ่งได้อ้างอิงหลักฐานที่มีจริง และที่เกิดจากการคาดคะเนที่ผูกโยงปะติดปะต่อได้อย่างมีเหตุผลตั้งแต่ที่มาของโบราณสถานโมคลานที่ท่าศาลา และโบราณสถานเขาคาที่สิชล การเกิดขึ้นของอาณาจักรศรีโพธิ์ และการเข้ามามีอิทธิพลของชวากะ ต่อเมืองนครศรีธรรมราช อันเป็นที่มาของอาณาจักรศรีวิชัย


ผู้เขียนบทความได้กล่าวถึงการเกิดคำว่าศรีวิชัย ที่พระเจ้าวิษณุที่ 2 จากชวากะมาล้มล้างระบบพราหมณ์ประจำพระเข้าชัยวรมันที่ 2 แห่งกำพูชาที่ปกครองนครฯอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วได้ชื่อว่าพระเจ้าศรีวิชัยที่แปลว่าชนะพราหมณ์ต่อมาทั้งอาณาจักร ศรีโพธิ์ ชวากะ นครฯต่างก็ใช้คำว่าศรีวิชัยนำหน้าพลัดกันมาเป็นศูนย์กลาง

ช่วงที่พระเจ้าศรีวิชัยหรือศรีวชาเยนทราชาปกครองได้สร้างศิลาจารึกหลักที่ 23 ที่วัดเสมาเมือง สร้างวัดถ้ำพรรณรา สร้างเจดีย์เขาหลัก รวมทั้งยึดครองอาณาจักศรีโพธิ์ สร้างเจดีย์ศรีวิชัยครอบสถูปเจดีย์เดิม สร้างพระประธานในวิหารหลวงชือ่ พระศรีศากยมุณีศรีธรรมโศกราชหรือพระศรีวิชาเยนทรมุณีศรีธรรมโศกราช หลังจากนั้นโมคลาน เขาคา ถูกโจมโดยชวากะ ซึ่งชวากะก็ไม่อยู่ในอานัติของนครฯอีกต่อไป ทำให้ศูนย์เสียศูนย์กลางอาณาจักรไปหลังปี 1520 และศูนย์เสียเอกรายไปในปี 1525

พศ. 1770 เจ้าชายพงษาสุระจากศรีวิชัยไชยามาปกครองนครฯใช้ชื่อว่า จันทรภาณุประกาศอิสระภาพไม่ขึ้นกับขอมดังปรากฏในหลักศิลาจารึกหลักที่ 24 วัดเสมาเมือง ทำให้เมืองนครฯกลับมาย่ิ่งใหญ่อีกครั้งมี สร้างพระธาตุเจดีย์สำเร็จในปีพศ. 1790 จากที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ พศ. 1720 ไปตีลังกาได้พระพุทธสิหิงค์มาเป็นพระประจำเมืองนครฯ มีเมืองขึ้น 12 เมืองที่เรียกว่าเมือง 12 นักษัตร การไปตีลังกาคลั้งหลังทำให้อ่อนแอและมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของสุโขทัยที่่ร่วมกับลังกา ทำให้ได้รับอิทธิพลศาสนาพุทธ์แบบลังกาวงค์ ขณะที่สุขโทยรับเอาพราหมณ์จากนคร ไชยา เขาอ้อพัทลุงไป และไปมีอิทธิพลในอยุธยาสำหรับสุโขทัยเรียกนครฯว่า นครแห่งพระเจ้าศรีธรรมโศกราช เป็นที่มาของชื่อจังหวัดนครศรีธรรมราช

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รู้จักปราสาทพระวิหาร

จากบันทึกไว้โดยการสลักในแผ่นหินในบริเวณที่จอดรถก่อนขึ้นไปเยี่ยมชมปราสาทเขาพระวิหาร มีบันทึกไว้ว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรักกั้นพรมแดนราชอาณาจักรไทย และกำพูชาท่ความสูงจากพื้นดิน 547 เมตร และที่ระดับสูง 657 เมตรจากระดับน้ำทะเล ปราสาทเขาพระวิหารเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวะนิกายที่นับถือพระศิวะ หรือพระอิศวรเป็นเทพสูงสุด โดยรวบรวมได้จากศิลาจารึกภาษาสันสกฤต ระบุชื่อของศาสนสถานแห่งนี้ว่า “ศรีศิขรีศวร” มีความหมายว่าเจ้าแห่งยอดเขาผู้รุ่งเรือง หมายถึงพระศิวะผู้สถิตเหนือยอดเขาไกรลาส และจากจากรึกหลักที่ค้นพบที่ปราสาทพระวิหาร ทำให้กำหนดอายุของศาสนสถานสร้างขึ้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-17 นอกจากนี้ยังระบุไว้ว่าปราสาทนั้นสร้างบนเขาโคปุระ จะมีปราสาทแยกกั้นเป็น 4 ตอนหรือ 4 ชั้นแต่ละชั้นก็อยูที่ระดับสูงแตกต่างกัน ชั้นแรกๆจากทางขึ้นนั้นปรักหักพังมากกว่าชั้นที่สมบูรณ์มากกว่าคือชั้นที่ 3 และชั้นที่ 4 จะอยู่ติดหน้าผาพอดี

สำหรับคนที่อายุมากกว่า 50 ปีคงจะเคยมีประสบการณ์ หลังจากที่ศาลโลกตัดสินว่าปราสาทเข้าพระวิหารให้เป็นของประเทศกำพูชานั้น ปฏิกิริยาของคนไทยลุกขึ้นมาเดินขบวนทั่วประเทศทุกจังหวัดโดยพร้อมเพียง แม้ว่าประเทศไทยจะรักชาติไม่เท่ากับประเทศญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ได้แสดงอะไรบางอย่างว่าในกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ปัจจุบันนั้นความหวงแหนความใส่ใจต่อประเด็นอธปไตยของประเทศไทยนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก การกระทำที่แสดงว่ารักชาติหวงแหนคงลดน้อยถอยลงมีแต่การแสดงว่ารักชาติด้วยปากกันเป็นส่วนใหญ่ หรือว่ามีผลประโยชน์อื่นใดที่เราไม่ทราบ หรือว่ามีภาวะซ่อนเร้นใด หรือว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรไปกว่าความอยู่รอดที่ไม่ต้องไปสนใจมากนักในภาวะปัจจุบัน

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เหตุเกิดที่พม่า

การต่อต้านขัดขืนของประชาชนที่มีพระเป็นผุ้ริเริ่มในคราวนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงผลการปกครอง ของรัฐบาลเผด็จการว่า ทั้งที่มีทรัพยากรในประเทศมากมายแต่การจัดสรรผลประโยชน์อย่างไม่สมดุล หรือไม่เป็นธรรม ทำให้ประเทศพม่าเป็นประเทศที่ยากจนมากประเทศหนึ่ง ดูได้จากประชาชนลี้ภัย หรือความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นมาอาศัยในประเทศไทยจำนวนมาก ถ้าจะวิเคราะห์ถึงสาเหตุนั้น คงจะไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริง เหมือนกับทฤษฎีวิวัฒนาการกับความเชื่อทางศาสนาบางศาสนาที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง ก็เถียงกันไม่เป็นที่สิ้นสุด แต่ที่พระออกมาเดินขบวนแทนที่จะเป็นกระบวนการนักศึกษาและประชาชน เหมือนคราวที่แล้วที่ทหารออกมาปราบปรามทำให้นักศึกษาและประชาชนเสียชีวิตไปหลายคน และที่ลี้ภัยในประเทศไทยก็มักตั้งแต่บัดนั้น


ไม่มีใครคาดคิดว่าทหารจะฆ่าพระ หรือทุบตีพระซึ่งเป็นเพศบรรพชิตที่คงจะไม่ใช้ความรุนแรง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นผู้นำการประท้วงก็จำเป็นต้องปราบ เราไม่รู้ว่าพระจะถูกกระท่ำทารุนกรรมอย่างไร จะถูกฆ่าตายหรือไม่ แต่ที่สามารถฆ่าพระได้นั้นทหารที่มากระทำก็เข้าข่าย คล้ายๆกับที่เคยมีทหารจากต่างจังหวัดมาปฏิบัติการตอนพฤกษาทมิน เพราะชาวพุทธก็ต้องเชื่อตามหลักกาลามสูตร ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แม้ว่าจะมีข่าวออกมาว่าพระหายไปจากวัดในพม่าจำนวนมาก ตามหลักของพุทธศาสนานั้นไม่ให้จองเวรกัน ไม่แก้แค้นกันจะเป็นผุ้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แต่ก็มีความเชื่อตามกฏแห่งกรรมว่า ทุกอย่างมีวิบากกรรม ทำอะไรได้อย่างนั้นไม่ภพนี้ก็ภพหน้า ด้วยการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมไม่ถูกต้อง ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่ช่วยกันก็จะกลับมาทำล้ายล้างมนุษย์เอง

ถ้าย้อนไปตั้งแต่พระเจ้าธีบอร์กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าถูกเนรเทศไปอยู่อินเดีย และให้พม่าเป็นเหมือนจังหวัดหนึ่งของอินเดีย และหลังสงครามโลกครั้งที่สองนายพลออกซานผู้เป็นบิดาของอองซานซูจี มีอำนาจและถูกฆ่าตายจากการแย่งชิงอำนาจ อองซานซูจีบุตรนายพลออกซานกลับบ้านเกิดมาดูแลมารดาก่อนเสียชีวิตหลังจากไปอยู่ประเทศอังกฤษและแต่งงานกับชาวอังกฤษ ซึ่งในส่วนลึกของคนพม่าคงจะไม่พอใจอังกฤษอยู่สมัยที่มายึดประเทศพม่าในยุคการล่าอาณานิคม แม้จะตั้งพรรคการเมืองชนะการเลือกตั้งแล้วทหารก็ไม่ยอมลงจากอำนาจไม่ยอมให้พรรคชนะการเลือกตั้งนางขึ้นปกครองประเทศ แถมต่อมายังถุูกกักบริเวณ เกือบถูกฆ่ามาแล้ว แต่ประชาชนจำนวนมากยังสนับสนุนแต่ไม่อาจต่อสู้ได้กับอำนาจทหารที่ได้แซกซึมไปทั่วทุกวงการแล้ว ประชาชนจึงไม่ได้รับความเป็นธรรมจากอำนาจทหาร

จำได้ว่าประเทศพม่าได้นำการปกครองแบบสังคมนิยมมาใช้ ที่ทุกอย่างเกือบเป็นของรัฐหมด ประชาชนค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเป็นกิจการใหญ่ก็อยู่ไม่ค่อยได้ อาจต้องเสียภาษีรูปแบบต่างๆ ให้รัฐบาลทหาร ที่ดินในพม่ายังรกร้างว่างเปล่ามากมาย แต่ไม่มีประชาชนไปใช้ที่ดินให้เกิดประเโยชน์ ซึ่งเป็นอาการเดียวกันที่ไม่รู้ว่าจะทำให้ใคร เหมือนกับความล้มเหลวในประเทศสังคมนิยม และคอมมิวนิสเมื่อก่อน การไม่มีใครกล้าทำอะไรเศรษฐกิจก็เลยล่มสลายไป แม้ว่ารัฐบาลทหารจะทำธุรกรรมกับต่าง ประเทศไว้มากเช่นสิงคโปร์ไปลงทุนต่างๆ มากมาย ประเทศไทยบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมที่เกี่ยวโยงกับอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยก็มีอยู่ และอีกหลายประเทศ แม้แต่ประเทศจีนเองก็ยังคิดว่าประเทศพม่าโดยประชาชนต้องแก้ปัญหากันเอาเองโดยปราศจากการแทรกแซง แต่ว่าอีกนานเท่าไรนั่นแหละครับถึงจะหมดกรรมไปบ้าง

เคยดูรายการทีวีไทยที่นำผู้มีชือเสียง และรู้เรื่องพม่ามาพูดและพูดว่า พม่าเคยยกเลิกเงินจาดและใช้เงินอันใหม่ที่พิมพ์ขึ้น อย่างไม่มีเหตุผล การกักขังนางออกซานซูจีว่าไม่มีเหตุผล ผมคิดว่า มีเหตุผลทั้งนั้น เพราะพม่านั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม และทำสงครามกองโจรกับรัฐบาลพม่า ตามชายแดนไทยซึ่งกองกำลังเหล่านี้อาจหาเงินหล่อเลี้ยงโดยการค้ายาเสพติด ซึ่งได้เงินจำนวนมากซึ่งพม่าทราบดีว่าจะปราบพวกนี้ได้ก้ต้องทำลายเศรษฐกิจโดยการยกเลิกเงินที่ใช้ทำให้เงินที่พวกชนกลุ่มน้อยถือครองอยู่หมดความหมายไปทันที่ แต่ก็ได้ทำให้ประชาชนพม่าส่วนหนึ่งได้รับความเดือดร้อนไปด้วย หรือเขามีมาตรการช่วยอย่างไรก็ไม่ทราบได้ ส่วนกรณีของนางอองซานซูจีนั้น คงมีเหตุผลเดียวคือกลัวจะไปเคลื่อนไหวสร้างกระแสต่อต้านรัฐบาล แต่ในทางที่กลับกันผู้ที่สนับสนุนอาจไปเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ลำลึกเหตุการณ์บางตอนในวันที่ 14 ตค. 16

จำได้ว่าเป็นช่วงที่ปิดภาคเรียนพอดี ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ช่วงหนึ่งที่มีการปะทะกันที่บริเวณอนุสาวรีประชาธิปไตย บริเวณถนนราชดำเนิน สนามหลวงและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ตอนเช้าวันที่ 14 เมื่อเดินทางมาใกล้กับถนนราชดำเนินก็ให้รู้สึกแสบตาเพราะแกสน้ำตา ซึ่งในขณะนั้นได้มีการปะทะกันแล้ว มีการเผาสถานที่สำคัญคือกรมประชาสัมพันธ์ และกองฉลาก ประชาชนจับกลุ่มกันเป็นหย่อมในถนนราชดำเนินและกำลังฮือกันไปทำอะไรสักอย่าง บางกลุมก็ข้ามเลยมาทางสนามหลวง ในขณะเดียวกันก็มีการยิงปืนกลรัวเป็นชุดคงไม่ได้ตั้งใจให้โดนคน เพราะดูแนววิถีกระสุนส่วนใหญ่อยู่ที่ยอดต้นมะขาม คนยิงคงสุ่มอยู่ที่ยอดตึกใดตึกหนึ่ง บนท้องฟ้าก็มีค็อปเตอร์บินวนอยู่

บางกลุมที่สนามหลวงแบกหีมศพใส่คนตายแห่แหนไปทั่วหวังให้คนเข้ามาเป็นแนวร่วมเพื่อทำอะไรสักอย่างมีอยู่ช่วงหนึ่งที่แห่เข้าไปหน้ากระทรวงกะลาโหมที่มีทหารรักษาการอยู่จำนวนหนึ่ง ก็โดยยิงแกสน้ำตาไล่ออกมาเหมือนกับผึ้งแตกรัง สลับกับการยิ่งปืนลงมาเป็นชุดๆ แล้วบางส่วนก็หนีไปที่หน้าธรรมศาสตร์และหน้าวัดมหาธาตุ บางคนกระโดดขึ้นกำแพงข้ามไปหลบอยู่หลังกำแพงได้อย่างน่าอัศจรรย์ พระบางรูปที่ไปเป็นไทยมุงก็วิ่งหนีกันเห็นจีวรปลิวก็มี

เมื่อเข้ามาดูในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถ้าว่าไปก็เป็นเหมือนแหล่งพักพิงของนักศึกษาที่ไปปะทะมา มาพักผ่อนมาเตรียมการ มีอาวุธง่ายๆ ที่พอติดไม้ติดมือเป็นเศษไม้เศษเหล็กที่ไม่ธรรมดาก็คือระเบิดขวดที่ทำขึ้นเอง โดยเอาน้ำมันใส่ในขวดแล้วใช้เศษผ้าชุบน้ำมันสอดเข้าไปตั้งเรียงรายอยู่บริเวณโรงอาหารของธรรมศาสตร์ เตรียมนำไปก่อการต่อไป ในช่วงนั้นจะเห็นมีคนหามคนเจ็บเข้ามาในธรรมศาสตร์เป็นระยะและส่งต่อข้ามฝากไปยังรพ.ศิริราช

สิ่งที่แตกต่างไปจากการปะทะกันเมื่อวันที่ 7 ตค.ที่เพิ่งผ่านมานั้น ตรงที่ผู้ชุมนุมไม่ได้เตียมอาวุธที่จะไปปะทะกับตำรวจ และน่าจะเป็นผู้โดนกระทำแต่ฝ่ายเดียวไม่ได้ไปแก้แค้นตอบโต้ เพราะมองเห็นถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นมากกว่านี้อีก และยังมีผู้นำที่ยังนำไม่ให้เกิดความรุนแรงได้ ยกเว้นการป้องกันตนเอง

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

เมื่อจะค้นหารากเหง้าของตนเอง

ประวัติศาสตร์ทำให้เรารู้ที่ไปที่มาของเหตุการณ์ เรื่องราวของบุคคลที่ผ่านมา แต่ส่วนใหญ่ของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเป็นระยะเวลานานหลายชั่วคน ที่ไม่มีบันทึกหลงเหลือร่องรอยให้เห็นการเล่าต่อกันมาอาจเลอะเลือนจนไม่ทราบข้อเท็จจริงที่ควรจะเป็น จึงเป็นที่มาให้มีการชำระประวัติศาสตร์ให้เข้ารูปเข้ารอยมีเหตุผลที่จะสรุปเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่น่าจะเป็นจริงมากที่สุด เราศึกษาประวัติศาสตร์ก็เพื่อจะนำเอาสิ่งดีๆเป็นแบบอย่าง แก้ไขข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้อีก เราใช้ประวัติศาสตร์เป็นเหมือนบทเรียน


หลักศิลาจารึกอักษรไทยสมัยสุโขทัยก็ยั้งมีคนสงสัยว่าโดยหลักฐานยุคหลังๆ นั้นไม่น่าจะมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่ยังไม่มีใครที่จะทำให้ชัดเจน บางคนอาจจะคิดว่าไม่ได้มีประโยชน์ใดๆที่จะรื้อฟื้น แต่ก็น่าจะมีประโยชน์ในแง่ที่เรามีความรู้มีเทคโนโลยี ที่จะศึกษาที่จะตัดสินใจให้ผู้อื่นเชื่อถือได้หรือไม่

ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เราเรียนกันมาเมื่อครั้งชั้นประถม มัธยม ว่าคนไทยมาจากไหน บ้างก็ว่ามาจากประเทศจีน แถบเทือกเขาอันไต แล้วอบพยบลงมาทางใต้เข้าสู่ประเทศไทยดังปัจจุุบันดังมีหลักฐานอยู่ที่ประเทศจีนว่ายังมีคนไทยหลงเหลืออยู่และยังพูดภาษาไทยอยู่บ้าง ที่มีบางส่วนที่อยู่ในประเทศเวียดนามที่ยังมีภาษาพูดใกล้เคียงภาษาไทย ต่อมามีหลักฐานใหม่ว่าคนไทยอาจจะเคยอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันมาก่อนแล้ว แล้วรับวัฒนธรรม และภาษาจากผู้ที่อพยบเข้ามาใหม่ จึงมีการผสมผสานกับคนที่อยู่ในถิ่นเดิมที่อยู่ในอิทธิพลของขอม อินเดียแล้วแผ่อิทธิพลไปทั่ว
ในปีนี้เองที่ สุจิน วงเทศ ก็ได้นำเสนอผลการศึกษาว่าผู้ก่อตั้งกรุงศรีอยุธยานั้นไม่ใช่พระเจ้าอู่ทอง ตามที่เข้าใจเรียนรู้กันมาแล้วนั้นกลับกลายเป็นเพียงนิทานหรือเรื่องเล่ากันเท่านั้น แต่กลับบ่งชี้ว่าคนผู้ที่เป็นคนตั้งกรุงศรีอยุธยาที่แท้จริงนั้น เป็นพระราชาธิปดีที่มาจากขอม มีหลักฐานว่าที่ละโว้ลพบุรีก็มีหลักฐานมีปราสาทแบบขอบ ที่ใกล้กรุงเทพแค่เมืองกาญจนบุรีก็มีปราสาทเมืองสิงห์ ส่วนดินแทนทางใต้เป็นทางเรือสินค้าผ่าน คนพื้นเมืองจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบใดแน่ ที่ทราบก็มีแต่เงาะซาไก ที่คิดได้ก็น่าจะมีหลายชนชาติที่มาอยู่รวมกัน แต่เมื่อดูภาษาไทยที่ใช้พูด ทางใต้น่าจะได้รับอิทธิพลทางภาษาจากบนไทยที่อาศัยอยู่ทางเหนือขึ้นไป แต่สำเนียงการออกเสียงเป็นลักษณะเฉพาะตัว