ปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 19 มีนาคมกล่าวกันว่าเป็นวันที่ดวงจันทร์และโลกเคลื่อนเข้ามาใกล้กันมากที่สุด ในรอบ 19 ปี ตามหลักวิทยาศาสตร์เมื่อเคลื่อนที่มาใกล้กัน คนบนโลกจะมองเห็นดวงจันทร์โตกว่าปกติ และสว่างมากกว่าปกติ และแน่นอนว่าแรงดึงดูดระกว่างโลกและดวงจันทร์ก์เพิ่มมากขึ้น ความเข้มแสงที่เพิ่มขึ้น และแรงดึงดูดที่เพิ่มขึ้นนั้น สามารถจะคำนวนได้ตามสมการของนิวตันที่คิดขึ้นมาเกือบสามร้อยปีแล้ว แดงดึงดูดและความเข้มแสงที่เราวัดได้จะขึ้นอยู่กับระยะทางระหว่างโลกและดวง จันทร์ ยิ่งระยะห่างน้อยลงความเข้มแสงและแรงดึงดูดก็จะยิ่งมากขึ้น
ปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นมีผู้เรียกว่าเป็นปรากฏการ Super Moon และมีผู้ทำนายว่าจะเกิดเหตุร้ายเป็นภัยพิบัติ ซึ่งก็เป็นการคาดการณ์ที่มีโอกาสเป็นไปได้ เพราะการการเกิดแรงดึงดูดระหว่างกันมาก โอกาสที่จะเกิดการเคลื่อนไหวที่เปลือกโลกเป็นแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด การพายุคลื่นลมแรงก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามใช่ว่าเหตุร้ายแรงที่สุดจะมาเกิดเอาในวันซุปเปอร์มูน โอกาสที่จะเกิดก่อนหรือหลังวันนั้นก็เป็นไปได้ดังที่เกิดแผ่นดินไหวและคลื่น ยักษ์ซึนามิเมื่อวันที่ 11 มีนาคม จังหวัดเซ็นไดประเทศญี่ปุ่น แต่จะสรุปว่าเป็นผลมาจากซุปเปอร์มูนอย่างเดียวก็คงไม่ได้ คงจะมีหลายๆอย่างผนวกกันพอทีจึงเกิดขึ้น
ในวันพระจันทร์เต็มดวงแม้ว่าไม่เกิดภัยพิบัติใดๆ ก็ยังมีบันทึกหลักฐานว่าเป็นวันที่เกิดอุบัติเหตุต่างๆ มากกว่าวันอื่นๆ แสดงว่ามีผลต่อจิตใจความคิดของคน มีในบางประเทศและบางเมืองที่ทางโรงพยาบาลต้องเตรียมรับมือที่เตรียมการฉุก เฉินไว้ล่วงหน้าในวันพระจันทร์เต็มดวง ก็เป็นเรื่องที่ยังพิสูจน์กันไม่ได้ว่าเพราะอะไรกันแน่ อย่างไรก็ตามก็มีทฤษฎีที่พยายามอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เช่นทฤษฎีไร้ระเบียบดังในปรากฏการณ์ที่เรียกว่าผีเสื้อขยับปีก (Butterfly effect) ที่มองว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความสัมพันธ์กันและกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผลการเปลี่ยนแปลงที่หนึ่งแม้ว่าไม่มากก็อาจส่งผลใหญ่หลวงในอีกที่หนึ่งก็ เป็นได้
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิทย์บูรณาการ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิทย์บูรณาการ แสดงบทความทั้งหมด
วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ภาพเคลื่อนไหวพิศวงค์
เมื่อสมองซีกซ้ายทำงานมากกว่าภาพจะหมุนไปทางหนึ่ง และเมื่อกลับมาเป็นการทำงานของสมองซีกขวามากกว่าการหมุนเคลื่อนที่จะไปในทางตรงข้ามกับทางซ้าย ลองมองแล้วคิดถึงเรื่องที่แตกต่างกันจะเห็นภาพหมุนซ้ายบ้างขวาบ้างสลับกันไป
หากดูภาพแล้วไม่เคลื่อนไหวให้คลิกที่ลิงค์ข้างล่างนี้
http://race.nstru.ac.th/home/e-weblog/view_entry.php?blog_id=28&entry_id=1084
หากดูภาพแล้วไม่เคลื่อนไหวให้คลิกที่ลิงค์ข้างล่างนี้
http://race.nstru.ac.th/home/e-weblog/view_entry.php?blog_id=28&entry_id=1084
วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ความเข้าใจเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ดูเหมือนว่าคำว่าเดิมที วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นคำสองคำที่มีความหมายแตกต่างกัน และส่วนมากก็ใช้แยกกัน ในบางครั้งที่ใช้ร่วมกัน ปัจจุบันมักได้ยินคำทั้งสองใช้ด้วยกันมากขึ้นทั้งนี้เพราะคำทั้งสองคำนี้มีความเกี่ยวข้องกัน อาจทำให้หลายคนคิดว่ารวมเป็นคำเดียวและใช้ควบคู่กันเสมอ ดังจะเห็นว่าคณะในมหาวิทยาลัยมักจะมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
วิชาในสาขาวิทยาศาสตร์อย่างเดียวจะเป็นความรู้มูลฐาน โดยนักวิทยาศาสตร์จะศึกษาค้นคว้าความรู้ดังกล่าวเพื่อสนองตอบต่อความใคร่รู้ความอยากรู้อยากเห็น โดยไม่ได้คิดหวังผลประโยชน์จากการนำความรู้ไปใช้ ที่มีการเผยแพร่และสารณะชนสามารถนำไปใช้ได้ฟรีจัดเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (pure science) ส่วนวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (applied science) นั้นนำความรู้จากวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์มาประยุกต์ให้เข้ากับสถานะการณ์หรือปรากฏการใดปรากฏการหนึ่ง ที่อยู่ในความสนใจและเป็นประโยชน์สนองความต้องการของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ กลายเป็นศาสตร์ต่างๆ เช่น การแพทย์ การเกษตร วิศวกรรม เภสัชกรรม เป็นต้น อย่างไรก็ตามวิทยาศาสตร์ประยุกต์ก็ยังเป็นเพียงความรู้ที่ได้ยากการศึกษาค้นคว้าเพื่อแสวงหาแนวทางในการใช้ประโยชน์ เช่นนักเคมีสกัดสารบางอย่างจากต้นไม้หรือสมุนไพรในการศึกษาโครงสร้างต่างๆ ของต้นไม้เป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ แต่เมื่อนักเคมีหรือเภสัชกรศึกษาการนำสารสกัดดังกล่าวดูว่าจะใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง หรือนำไปสังเคราะห์เป็นส่วนผสมในน้ำยาทำความสะอาดใดบ้าง เป็นขั้นตอนการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ ซึ่งจะมีการทดลองทำให้แน่ใจว่าใช้รักษาโรคได้ ใช้เป็นสารทำความสะอาดได้จริง แต่เมื่อไรที่ไปถึงขั้นของการผลิต เพื่อจำหน่ายหรือใช้ประโยชน์ทางธุรกิจการค้า ที่ต้องอาศัยขั้นตอนกรรมวิธีในการผลิตก็จะกลายเป็นเทคโนโลยี (Technology)
คำว่า Technology มาจากคำภาษาอังกฤษ และคำนี้มาจากภาษากรีกคือ Technologia ซึ่งเดิมหมายถึงการกระทำที่เป็นระบบที่ก่อให้เกิดกรรมวิธีในการผลิต และสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ดังนั้นความหมายของเทคโนโลยีจึงเปลี่ยนไปเกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกล ประดิษฐกรรมใหม่ๆ และการอุตสาหกรรมดังที่เรียกกันว่าเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ความพยายามที่จะให้นิยามขอบเขตของคำว่าเทคโนโลยีที่น่าตรงตามสภาพปัจจุบัน คือความรู้ทางเทคนิคที่ใช้สำหรับการผลิตในอุตสาหกรรม และยังให้ความหมายครอบคลุมไปถึงความรู้ที่ไม่เกี่ยวกับอุตสาหกรรม เช่นการสร้างเขื่อน การส่งยานอวกาศ และการดำเนินชีวิตในประจำวัน ดังนั้นจึงมีความหมายกว้างๆ ของคำว่าเทคโนโลยีคือ ความรู้ที่มนุษย์ใช้ทรัพยากรให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์เองในการสนองความต้องการ และการควบคุมสิ่งแวดล้อม ตามความหมายประการหลังน่าจะครอบคลุมเพราะไม่ว่าจะผลิตอะไรก็ต้องใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์ที่รวมไปถึง การใช้แรงงานและพลังงาน ในการสร้างเขื่อนก็ควบคุมน้ำการไหลของน้ำโดยการกักเก็บน้ำไว้ เพื่อนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นต้น
การแบ่งแยกและการใช้ร่วมกันของคำว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อมองในแง่ว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด เพราะจะเกิดเทคโนโลยีขึ้นได้อยาถ้าไม่มีการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์มาก่อน และในบางครั้งเมื่อพูดถึงวิทยาศาสตร์ประยุกต์แล้ว จะครอบคลุมรวมไปถึงเทคโนโลยีด้วย ดังที่เคยมีนิยามกันว่าเทคโนโลยีก็คือการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ให้เกิดประโยชน์ และเป็นผลของวิทยาศาสตร์ แต่เนื่องจากว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เป็นความลับที่ไม่อาจเปิดเผยให้คู่แข่งขันทางเศรษฐกิจการค้าทราบ เทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่ซื้อขายกันในท้องตลาดใครเป็นเจ้าของเทคโนโลยีก็จะเป็นผู้มีอำนาจมีอิทธิพลต่อโลกได้
เมื่อมองกันในแง่ว่า ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หรือเทคโนโลยี ก็ถือว่าเป็นความรู้ดังที่กล่าวกันเสมอว่าความรู้คือพลัง (knowledge is power) ซึ่งความรู้อาจแบ่งออกเป็นความรู้เชิงประกาศ (declarative knowledge) และความรู้เชิงกระบวนการ (procedural knowledge) และความรู้ประการหลังน่าจะเป็นความรู้ทางเทคโนโลยี สอดคล้องกับกล่าวกันว่าการนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติที่จะให้ได้ผลดีก็ต้องมีทั้งความรู้และความสามารถที่จะนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางปฏิบัตินั่นเอง
วิชาในสาขาวิทยาศาสตร์อย่างเดียวจะเป็นความรู้มูลฐาน โดยนักวิทยาศาสตร์จะศึกษาค้นคว้าความรู้ดังกล่าวเพื่อสนองตอบต่อความใคร่รู้ความอยากรู้อยากเห็น โดยไม่ได้คิดหวังผลประโยชน์จากการนำความรู้ไปใช้ ที่มีการเผยแพร่และสารณะชนสามารถนำไปใช้ได้ฟรีจัดเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (pure science) ส่วนวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (applied science) นั้นนำความรู้จากวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์มาประยุกต์ให้เข้ากับสถานะการณ์หรือปรากฏการใดปรากฏการหนึ่ง ที่อยู่ในความสนใจและเป็นประโยชน์สนองความต้องการของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ กลายเป็นศาสตร์ต่างๆ เช่น การแพทย์ การเกษตร วิศวกรรม เภสัชกรรม เป็นต้น อย่างไรก็ตามวิทยาศาสตร์ประยุกต์ก็ยังเป็นเพียงความรู้ที่ได้ยากการศึกษาค้นคว้าเพื่อแสวงหาแนวทางในการใช้ประโยชน์ เช่นนักเคมีสกัดสารบางอย่างจากต้นไม้หรือสมุนไพรในการศึกษาโครงสร้างต่างๆ ของต้นไม้เป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ แต่เมื่อนักเคมีหรือเภสัชกรศึกษาการนำสารสกัดดังกล่าวดูว่าจะใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง หรือนำไปสังเคราะห์เป็นส่วนผสมในน้ำยาทำความสะอาดใดบ้าง เป็นขั้นตอนการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ ซึ่งจะมีการทดลองทำให้แน่ใจว่าใช้รักษาโรคได้ ใช้เป็นสารทำความสะอาดได้จริง แต่เมื่อไรที่ไปถึงขั้นของการผลิต เพื่อจำหน่ายหรือใช้ประโยชน์ทางธุรกิจการค้า ที่ต้องอาศัยขั้นตอนกรรมวิธีในการผลิตก็จะกลายเป็นเทคโนโลยี (Technology)
คำว่า Technology มาจากคำภาษาอังกฤษ และคำนี้มาจากภาษากรีกคือ Technologia ซึ่งเดิมหมายถึงการกระทำที่เป็นระบบที่ก่อให้เกิดกรรมวิธีในการผลิต และสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ดังนั้นความหมายของเทคโนโลยีจึงเปลี่ยนไปเกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกล ประดิษฐกรรมใหม่ๆ และการอุตสาหกรรมดังที่เรียกกันว่าเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ความพยายามที่จะให้นิยามขอบเขตของคำว่าเทคโนโลยีที่น่าตรงตามสภาพปัจจุบัน คือความรู้ทางเทคนิคที่ใช้สำหรับการผลิตในอุตสาหกรรม และยังให้ความหมายครอบคลุมไปถึงความรู้ที่ไม่เกี่ยวกับอุตสาหกรรม เช่นการสร้างเขื่อน การส่งยานอวกาศ และการดำเนินชีวิตในประจำวัน ดังนั้นจึงมีความหมายกว้างๆ ของคำว่าเทคโนโลยีคือ ความรู้ที่มนุษย์ใช้ทรัพยากรให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์เองในการสนองความต้องการ และการควบคุมสิ่งแวดล้อม ตามความหมายประการหลังน่าจะครอบคลุมเพราะไม่ว่าจะผลิตอะไรก็ต้องใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์ที่รวมไปถึง การใช้แรงงานและพลังงาน ในการสร้างเขื่อนก็ควบคุมน้ำการไหลของน้ำโดยการกักเก็บน้ำไว้ เพื่อนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นต้น
การแบ่งแยกและการใช้ร่วมกันของคำว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อมองในแง่ว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด เพราะจะเกิดเทคโนโลยีขึ้นได้อยาถ้าไม่มีการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์มาก่อน และในบางครั้งเมื่อพูดถึงวิทยาศาสตร์ประยุกต์แล้ว จะครอบคลุมรวมไปถึงเทคโนโลยีด้วย ดังที่เคยมีนิยามกันว่าเทคโนโลยีก็คือการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ให้เกิดประโยชน์ และเป็นผลของวิทยาศาสตร์ แต่เนื่องจากว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เป็นความลับที่ไม่อาจเปิดเผยให้คู่แข่งขันทางเศรษฐกิจการค้าทราบ เทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่ซื้อขายกันในท้องตลาดใครเป็นเจ้าของเทคโนโลยีก็จะเป็นผู้มีอำนาจมีอิทธิพลต่อโลกได้
เมื่อมองกันในแง่ว่า ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หรือเทคโนโลยี ก็ถือว่าเป็นความรู้ดังที่กล่าวกันเสมอว่าความรู้คือพลัง (knowledge is power) ซึ่งความรู้อาจแบ่งออกเป็นความรู้เชิงประกาศ (declarative knowledge) และความรู้เชิงกระบวนการ (procedural knowledge) และความรู้ประการหลังน่าจะเป็นความรู้ทางเทคโนโลยี สอดคล้องกับกล่าวกันว่าการนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติที่จะให้ได้ผลดีก็ต้องมีทั้งความรู้และความสามารถที่จะนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางปฏิบัตินั่นเอง
เสรีภาพกับวิทยาศาสตร์
การทำความเข้าใจโลกเอกภพโดยรอบตัวเราเองนั้น จัดได้ว่าเป็นเป้าหมายของวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เป็นเหตุให้การคงอยู่ของสถาบันการศึกษาทั้งหลายเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ความอิสระเสรีภาพ และความสมบูรณ์ในทรัพยากรของสังคม เราจำเป็นต้องรู้ถึงการดำรงหล่อเลี้ยงความมีอิสระนี้ ว่าคงต่อไปได้อย่างไร ความก้าวหน้าของมนุษย์ชาติในทุกด้านได้ผู้ติดกับเสรีภาพ ความก้าวหน้าทางปัญญาจะถูกกระทำให้หวั่นไหวเมื่อเสรีภาพในการกระทำและแสดงออกถูกจำกัดลง เมื่อไรที่มีข้อเสนอแนะที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงความเชื่อถือที่ยึดถือกันมาเป็นเวลานาน การตอบสนองของคนจำนวนมากทำให้การแลกเปลี่ยนความคิดอย่างอิสระจำกัดลงในทางที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้วอย่างจำกัดด้วย ดังนั้นการขาดเสรีภาพและการกลัวการเปลี่ยนแปลงจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
การยืนกรานตามข้อกล่าวอ้างที่มีมาก่อนนั้น มีรากฐานมาจากความเชื่อในเรื่องลึกลับ ไม่ใช่มาจากความรู้ตัวในการเสนอความจริง ความลึกลับทำให้เสรีภาพหวั่นไหวมากกว่าการพูดโกหก ซึ่งศรัตรูที่สำคัญของความจริงไม่ใช่เกิดจากการปิดปัง จงใจ เจตนา การไตรตรอง เล่ห์กล และความไม่ซื่อสัตย์ แต่เป็นสิ่งลึกลับ ความไม่รู้ยังคงอยู่สอดแทรกอยู่ทุกหัวระแหงในปัจจุบัน และในทุกที่ที่ยังมีอิทธิพลต่อความคิดของคนทั่วโลก
เสรีภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฏหมาย แต่ต้องการให้สาธารณะชนเข้าใจและซาบซึ้งกับความคิดอย่างมีเหตุผล เหตุผลจึงเป็นจิตวิญญาณของวิทยาศาสตร์ ทันทีที่มีการใช้ระบบเผด็จการหรือคณาธิปไตยที่สอดแทรกไปทั่วชุมชนไม่เพียงแต่วิทยาศาสตร์เท่านั้นที่กระทบ ดังเช่นถ้าสังคมเราละทิ้งซึ่งความมีเหตุผล สังคมใดได้รับหรือสนับสนุนเรื่องที่ไม่มีเหตุผลได้ก็พร้อมที่จะสนับสนุนเรื่องที่ไม่มีเหตุผลอื่นๆ ได้อีก การเจริญก้าวหน้าทางด้านปัญญา ศิลป และวิทยาศาสตร์คงต้องหยุดลง นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์นิวเคลียร์ชาวรัสเซีย ที่เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน Andrei Sakharov (1921-1989) เขาเคยได้เขียนไว้ครั้งหนึ่งว่า “เสรีภาพทางปัญญาเป็นแก่นหลักของสังคมมนุษย์ เสรีภาพในการคิดเป็นเพียงการประกันได้ว่าไม่ได้ลุ่มหลงมัวเมากับการเชื่อในสิ่งลึกลับ สิ่งซึ่งผู้มีอำนาจและเผด็จการอาจนำไปใช้เป็นเครื่องมือนำมาซึ่งความรุนแรงและการนองเลือด”
การยืนกรานตามข้อกล่าวอ้างที่มีมาก่อนนั้น มีรากฐานมาจากความเชื่อในเรื่องลึกลับ ไม่ใช่มาจากความรู้ตัวในการเสนอความจริง ความลึกลับทำให้เสรีภาพหวั่นไหวมากกว่าการพูดโกหก ซึ่งศรัตรูที่สำคัญของความจริงไม่ใช่เกิดจากการปิดปัง จงใจ เจตนา การไตรตรอง เล่ห์กล และความไม่ซื่อสัตย์ แต่เป็นสิ่งลึกลับ ความไม่รู้ยังคงอยู่สอดแทรกอยู่ทุกหัวระแหงในปัจจุบัน และในทุกที่ที่ยังมีอิทธิพลต่อความคิดของคนทั่วโลก
เสรีภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฏหมาย แต่ต้องการให้สาธารณะชนเข้าใจและซาบซึ้งกับความคิดอย่างมีเหตุผล เหตุผลจึงเป็นจิตวิญญาณของวิทยาศาสตร์ ทันทีที่มีการใช้ระบบเผด็จการหรือคณาธิปไตยที่สอดแทรกไปทั่วชุมชนไม่เพียงแต่วิทยาศาสตร์เท่านั้นที่กระทบ ดังเช่นถ้าสังคมเราละทิ้งซึ่งความมีเหตุผล สังคมใดได้รับหรือสนับสนุนเรื่องที่ไม่มีเหตุผลได้ก็พร้อมที่จะสนับสนุนเรื่องที่ไม่มีเหตุผลอื่นๆ ได้อีก การเจริญก้าวหน้าทางด้านปัญญา ศิลป และวิทยาศาสตร์คงต้องหยุดลง นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์นิวเคลียร์ชาวรัสเซีย ที่เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน Andrei Sakharov (1921-1989) เขาเคยได้เขียนไว้ครั้งหนึ่งว่า “เสรีภาพทางปัญญาเป็นแก่นหลักของสังคมมนุษย์ เสรีภาพในการคิดเป็นเพียงการประกันได้ว่าไม่ได้ลุ่มหลงมัวเมากับการเชื่อในสิ่งลึกลับ สิ่งซึ่งผู้มีอำนาจและเผด็จการอาจนำไปใช้เป็นเครื่องมือนำมาซึ่งความรุนแรงและการนองเลือด”
วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ผู้นำทางด้านทรัพย์สินทางปัญญา
องค์กรทรัพสินทางปัญญาของสหประชาชาติได้รายงานประเทศผู้จดลิขสิทธิ์ทรัพสินทางปัญญาในปี 2005 นั้นประเทศในเอเซียคือประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการจดทะเบียนทรัพสินทางปัญญามากที่สุด สี่แสนกว่ารายการ อันดับสองคือประเทศสหรัฐอเมริกสามแสนเก้าหมื่นกว่ารายการ และอันดับสามที่แซงขึ้นมาได้แก่ประเทศจีน และรองลงไปคือประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป และเกาหลี
เมื่อพิจารณาดูแล้วประเทศที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่งคือประเทศญี่ปุ่นที่สามารถคิดค้นจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาได้มากที่สุดในโลก แซงหน้าอเมริกาไปได้ คงจำกันได้ว่าเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วเคยมีหนังสือที่เขียนโดยคนอะเมริกา ได้เขียนขึ้นมาเล่มหนึ่งให้ชื่อว่า Japan is number one แสดงให้เห็นว่าประเทศญี่ปุ่นได้รับการยอมรับว่าเป็นที่หนึ่งของโลกในด้านต่างๆ มากมาย ยิ่งอีก 20 ปีต่อมาญี่ปุ่นก็ยังคงความเป็นที่ 1 ของโลกอยู้ในแง่ของทรัพย์สินทางปัญญา
จากที่เคยได้สัมผัสกับประเทศญี่ปุ่นนั้น เราเคยทราบว่าญี่ปุ่นเคยเป็นผู้นำทางด้านการทหาร และมีชื่อเสียงในด้านความรักชาติ ที่พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อชาติได้ ดังปรากฏชัดในความกล้าหาญของกองบินกามิกาเซ ที่สละชีพพร้อมเครื่องบินชนเรือรบอะเมริกา และการฆ่าตัวตายในการกระทำฮาราคีรี คือคว้านท้องตัวเองเพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดล้มเหลว ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่าง
สิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งคือสภาพปัจจุบัน ความมีวินัยที่สูงส่ง ข้าพเจ้าเคยไปเที่ยวงานดอกไม้บานที่ประเทศญี่ปุ่นที่จัดงานคล้ายๆ กับงานวัดบ้านเรามีการนำอาหาร เครื่องดื่มอัลกอฮอลโดยเฉพาะเหล้าสาเกไปดื่มกินใต้ต้มไม้ เมื่อเสร็จจากงานหรืองานเลิก ทุกคนพยายามช่วยกันเก็บขยะไม่ให้เหลือ นอกจากนี้แล้วยังมีลูกเสือเนตรนารี คอยเก็บตกอีกครั้งหนึ่ง ขาพเจ้าจึงไม่เห็นขยะให้เห็น นับว่าน่าทึ่งมาก และเชื่อว่าความมีระเบียบวินัย ที่คนญี่ปุ่นปฏิบัติประสบผลสำเร็จได้จริง ดังเช่นกรณี 5 ส. แต่เมื่อนำมาใช้เมืองไทยก็กระท่อนกระแท่น ไม่เป็นมวลรวมเหมือนประเทศญี่ปุ่น
จากประสบการณ์เคยทำงานร่วมกับช่าวญี่ปุ่น ร่ามกับนักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่ๆ บางคนไม่ได้เร่งรีบในการหางานทำเพียงอย่างเดียวยังเร่งรีบในการทำผลงานการศึกษาวิจัยไปด้วย แม้ว่าจะจบการศึกษาไปแล้วแต่ยังขอเข้ามาใช้ทรัพยากรของมหาวิทยาลัยในการเขียนเปเปอร์ หรืออาร์ติเกิลเพื่อตีพิมพ์ในวารสารต่างๆ เพราะเขาทราบดีว่าถ้าเขาได้ตีพิมพ์ในวารสารที่มีชื่อเสียงเมื่อไรแล้วและถ้าเรื่องที่ตีพิมพ์เป็นเรื่องที่บริษัทอุตสาหกรรมหนึ่งใดสนใจก็จะเข้าทำงานได้ง่าย และได้รับการเสนอเงินเดือนที่สูงๆ จะเห็นว่าค่านิยมของนักศึกษาไทยและญี่ปุ่นนั้นแตกต่างกันมากในเรื่องนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมประเทศญี่ปุ่นจึงเป็นผู้นำทางทรัพย์สินทางปัญญา
เมื่อพิจารณาดูแล้วประเทศที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่งคือประเทศญี่ปุ่นที่สามารถคิดค้นจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาได้มากที่สุดในโลก แซงหน้าอเมริกาไปได้ คงจำกันได้ว่าเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วเคยมีหนังสือที่เขียนโดยคนอะเมริกา ได้เขียนขึ้นมาเล่มหนึ่งให้ชื่อว่า Japan is number one แสดงให้เห็นว่าประเทศญี่ปุ่นได้รับการยอมรับว่าเป็นที่หนึ่งของโลกในด้านต่างๆ มากมาย ยิ่งอีก 20 ปีต่อมาญี่ปุ่นก็ยังคงความเป็นที่ 1 ของโลกอยู้ในแง่ของทรัพย์สินทางปัญญา
จากที่เคยได้สัมผัสกับประเทศญี่ปุ่นนั้น เราเคยทราบว่าญี่ปุ่นเคยเป็นผู้นำทางด้านการทหาร และมีชื่อเสียงในด้านความรักชาติ ที่พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อชาติได้ ดังปรากฏชัดในความกล้าหาญของกองบินกามิกาเซ ที่สละชีพพร้อมเครื่องบินชนเรือรบอะเมริกา และการฆ่าตัวตายในการกระทำฮาราคีรี คือคว้านท้องตัวเองเพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดล้มเหลว ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่าง
สิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งคือสภาพปัจจุบัน ความมีวินัยที่สูงส่ง ข้าพเจ้าเคยไปเที่ยวงานดอกไม้บานที่ประเทศญี่ปุ่นที่จัดงานคล้ายๆ กับงานวัดบ้านเรามีการนำอาหาร เครื่องดื่มอัลกอฮอลโดยเฉพาะเหล้าสาเกไปดื่มกินใต้ต้มไม้ เมื่อเสร็จจากงานหรืองานเลิก ทุกคนพยายามช่วยกันเก็บขยะไม่ให้เหลือ นอกจากนี้แล้วยังมีลูกเสือเนตรนารี คอยเก็บตกอีกครั้งหนึ่ง ขาพเจ้าจึงไม่เห็นขยะให้เห็น นับว่าน่าทึ่งมาก และเชื่อว่าความมีระเบียบวินัย ที่คนญี่ปุ่นปฏิบัติประสบผลสำเร็จได้จริง ดังเช่นกรณี 5 ส. แต่เมื่อนำมาใช้เมืองไทยก็กระท่อนกระแท่น ไม่เป็นมวลรวมเหมือนประเทศญี่ปุ่น
จากประสบการณ์เคยทำงานร่วมกับช่าวญี่ปุ่น ร่ามกับนักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่ๆ บางคนไม่ได้เร่งรีบในการหางานทำเพียงอย่างเดียวยังเร่งรีบในการทำผลงานการศึกษาวิจัยไปด้วย แม้ว่าจะจบการศึกษาไปแล้วแต่ยังขอเข้ามาใช้ทรัพยากรของมหาวิทยาลัยในการเขียนเปเปอร์ หรืออาร์ติเกิลเพื่อตีพิมพ์ในวารสารต่างๆ เพราะเขาทราบดีว่าถ้าเขาได้ตีพิมพ์ในวารสารที่มีชื่อเสียงเมื่อไรแล้วและถ้าเรื่องที่ตีพิมพ์เป็นเรื่องที่บริษัทอุตสาหกรรมหนึ่งใดสนใจก็จะเข้าทำงานได้ง่าย และได้รับการเสนอเงินเดือนที่สูงๆ จะเห็นว่าค่านิยมของนักศึกษาไทยและญี่ปุ่นนั้นแตกต่างกันมากในเรื่องนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมประเทศญี่ปุ่นจึงเป็นผู้นำทางทรัพย์สินทางปัญญา
จากปรัชญาสู่วิทยาศาสตร์
ผู้รู้นักวิชาการในกรีกโบราณเป็นบุคคลแรกที่เราทราบที่ใช้ความพยายามเพื่อศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับจักรวาล ด้วยระบบการรวมรวมความรู้ผ่านทางกิจกรรมการให้เหตุผลของมนุษย์เพียงลำพัง ใครก็ตามที่พยายามค้นแสวงหาเหตุผลเพื่อความเข้าใจ โดยไม่ต้องอาศัยปัญญาญาณ (intuition) ความบันดาลใจ (inspiration) วิวรณ์ (revelation) หรือการทำสิ่งที่ทำให้รู้กัน หรือแหล่งสารสนเทศที่ไม่มีเหตุผล จะเรียกบุคคลดังกล่าวนี้ว่านักปรัชญา (คำในภาษากรีกหมายถึง ผู้รักในความรู้ (lovers of wisdom))
ปรัชญาสามารถคิดให้เป็นเรื่องภายในของการแสวงหาความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ จริยศาสตร์ และศิลธรรม การกระตุ้นชักจูงและการตอบสนอง หรือเป็นเรื่องภายนอกจากการศึกษาค้นคว้าจักรวาลส่วนที่อยู่นอกเหนือเขตแดนของจิตที่ไม่มีตัวตน ได้แก่ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติ
นักปรัชญาที่ศึกษาในประเภทหลังเรียกว่าเป็นนักปรัชญาธรรมชาติ และเป็นเวลาหลายศตวรรษหลักจากยุคเริ่มต้นของกรีก การศึกษาปรากฏการณ์ธรรมชาติก็เรียกกันว่าปรัชญาธรรมชาติ ส่วนคำสมัยใหม่ที่นำมาใช้แทนได้แก่ วิทยาศาสตร์ (science) เป็นคำในภาษาลาตินแปลว่า to know ซึ่งไม่ได้เป็นที่นิยมใช้กันมากนัก จนกระทั่งศตวรรษที่ 19 แม้แต่ปัจจุบันเป็นที่มาของปริญญาสูงสุดในมหาวิทยาลัยที่ให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาในทางวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปว่า Doctor of Philosophy
ปรัชญาสามารถคิดให้เป็นเรื่องภายในของการแสวงหาความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ จริยศาสตร์ และศิลธรรม การกระตุ้นชักจูงและการตอบสนอง หรือเป็นเรื่องภายนอกจากการศึกษาค้นคว้าจักรวาลส่วนที่อยู่นอกเหนือเขตแดนของจิตที่ไม่มีตัวตน ได้แก่ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติ
นักปรัชญาที่ศึกษาในประเภทหลังเรียกว่าเป็นนักปรัชญาธรรมชาติ และเป็นเวลาหลายศตวรรษหลักจากยุคเริ่มต้นของกรีก การศึกษาปรากฏการณ์ธรรมชาติก็เรียกกันว่าปรัชญาธรรมชาติ ส่วนคำสมัยใหม่ที่นำมาใช้แทนได้แก่ วิทยาศาสตร์ (science) เป็นคำในภาษาลาตินแปลว่า to know ซึ่งไม่ได้เป็นที่นิยมใช้กันมากนัก จนกระทั่งศตวรรษที่ 19 แม้แต่ปัจจุบันเป็นที่มาของปริญญาสูงสุดในมหาวิทยาลัยที่ให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาในทางวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปว่า Doctor of Philosophy
เกร็ดน่ารู้
ปลาโลมาจะเปิดตาข้างเดียวไว้ตลอดเวลานอนหลับ
หัวใจของกุ้งอยู่ที่หัวของกุ้ง
แมลงวันใช้ขารับรู้รสอาหาร มีตุ่มรสอยู่ที่ขาถึง 1500 ตุ่ม
สาเหตุที่ตั้งชื่อโรคหวัดว่า influenza เพราะเชื่อว่าเป็นโรคที่ได้รับอิทธพล (Influenced) มาจากดวงดาว
ยุงแต่ละตัวมีฟัน 47 ซี่
นกเพนกวินเป็นนกที่ว่ายน้ำได้แต่บินไม่ได้
ฝุ่นในบ้านเกือบ 70 เปอร์เซ้นต์มาจากเศษผิวมนุษย์ที่หลุดจากผู้อาศัยภายในบ้าน
ปัจจุบันสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ประมาณ 1 ล้านสกุลและสูญพันธ์ไปแล้วประมาณ 950000 สกุล
ซิมแปนซีเป็นสัตว์ที่ผสมพันธ์เร็วที่สุดในโลกแค่ 3 วินาทีก็เสร็จภารกิจ
ยุงมาบ่อยกว่าถ้าสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงิน จะดึงดูดยุงมากกว่าสีอื่นเท่าตัว
ตาของสัตว์ที่มีขนาดโตที่สุดคือตาของปลาหมึกยักษ์วัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางได้มากกว่า 15 นิ้ว
ลิงซิมแปนซีแรกเกิดมีหลักฐานยืนยันว่ามีความฉลาดไอคิวสูงกว่าทารกแรกเกิด
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ไม่ใช่ทั้งหมดของสัตว์ที่มีหูอยู่ที่หัว ตัวมอธซ์ มีหูวางอยู่ที่กลางทรวงอก ขณะที่แมลงมุมและจิ้งหรีดมีหูอยู่ที่ขา
หัวใจของกุ้งอยู่ที่หัวของกุ้ง
แมลงวันใช้ขารับรู้รสอาหาร มีตุ่มรสอยู่ที่ขาถึง 1500 ตุ่ม
สาเหตุที่ตั้งชื่อโรคหวัดว่า influenza เพราะเชื่อว่าเป็นโรคที่ได้รับอิทธพล (Influenced) มาจากดวงดาว
ยุงแต่ละตัวมีฟัน 47 ซี่
นกเพนกวินเป็นนกที่ว่ายน้ำได้แต่บินไม่ได้
ฝุ่นในบ้านเกือบ 70 เปอร์เซ้นต์มาจากเศษผิวมนุษย์ที่หลุดจากผู้อาศัยภายในบ้าน
ปัจจุบันสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ประมาณ 1 ล้านสกุลและสูญพันธ์ไปแล้วประมาณ 950000 สกุล
ซิมแปนซีเป็นสัตว์ที่ผสมพันธ์เร็วที่สุดในโลกแค่ 3 วินาทีก็เสร็จภารกิจ
ยุงมาบ่อยกว่าถ้าสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงิน จะดึงดูดยุงมากกว่าสีอื่นเท่าตัว
ตาของสัตว์ที่มีขนาดโตที่สุดคือตาของปลาหมึกยักษ์วัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางได้มากกว่า 15 นิ้ว
ลิงซิมแปนซีแรกเกิดมีหลักฐานยืนยันว่ามีความฉลาดไอคิวสูงกว่าทารกแรกเกิด
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ไม่ใช่ทั้งหมดของสัตว์ที่มีหูอยู่ที่หัว ตัวมอธซ์ มีหูวางอยู่ที่กลางทรวงอก ขณะที่แมลงมุมและจิ้งหรีดมีหูอยู่ที่ขา
อัตราการเพิ่มประชากรกับอัตราเงินเฟ้อ
การเพิ่มของประชากรจะเป็นแบบชี้กำลัง (exponential growth) การเพิ่มประชากรแบบเลขชี้กำลังนั้น การเพิ่มจำนวนของรุ่นลูกในแต่ละรุ่นจะเป็นปฏิภาคกับจำนวนประชากรแต่ละคนในรุ่นที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่นถ้าแต่ละบุคคลในประชากรก่อให้เกิดลูก 2 คนซึ่งอยู่รอดต่อไปได้จนวัยผู้ใหญ่ ประชากรจะเพิ่มขึ้นแบบชี้กำลัง
มโนทัศน์สำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตแบบชี้กำลังคือเวลาที่ทำให้ประชากรเพิ่มเป็นสองเท่า สูตรอย่างหยาบๆ สำหรับคำนวณเวลาที่ทำให้เพิ่มเป็นสองเท่าคือ
เวลาที่ประชากรเพิ่มสองเท่า = 70/%อัตราการเพิ่มประจำปี
ดังนั้นผลเมืองที่เติมโตขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปีจะมีพลเมืองเพิ่มเป็นสองเท่าภายในเวลา 7 ปี
มโนทัศน์สำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตแบบชี้กำลังคือเวลาที่ทำให้ประชากรเพิ่มเป็นสองเท่า สูตรอย่างหยาบๆ สำหรับคำนวณเวลาที่ทำให้เพิ่มเป็นสองเท่าคือ
เวลาที่ประชากรเพิ่มสองเท่า = 70/%อัตราการเพิ่มประจำปี
ดังนั้นผลเมืองที่เติมโตขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปีจะมีพลเมืองเพิ่มเป็นสองเท่าภายในเวลา 7 ปี
อิทธิพลของทฤษฎีวิวัฒนาการตอน 1
สมัยเป็นนักเรียนเมื่อเราเรียนทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้เรียนรู้เรื่องการคัดเลือกพันธ์ตามธรรมชาติ และผู้ที่เหมาะสมมากที่สุดสามารถที่จะอยู่รอดได้ เคยมีผู้กล่าวไว้ว่าผู้ที่แข็งแรงที่สุดจะอยู่รอดได้ก็ไม่จริง จึงต้องแข็งแรงและต้องฉลาดด้วย บางคนแสดงความคิดเห็นว่าแข็งแรงก็ไม่ใช่ ฉลาดก็ไม่ใช่ ต้องปรับตัวเก่งที่สุดจึงจะใช่เลย ก็เลยคิดว่าเป็นการเล่นคำกันเสียมากกว่า เพราะคนที่จะปรับตัวได้ดีก็ต้องฉลาดด้วยแน่ แต่ถ้าจะใช้อีกคำหนึ่งว่ามีปัญญา หรือการพัฒนาให้มีปัญญาแล้วสามารถจะแก้ปัญหาได้ เพราะเคยมีผู้พยายามให้คำนิยามคำว่าปัญญาไว้ในลักษณะที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง และไม่ทำให้ทั้งตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อน ซึ่งจะต้องมีความรู้และความสามารถด้านต่างๆ นั่นเอง
การคัดเลือกพันธ์ตามธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดตามทฤษฎีวิวัฒนาการของดาวิน ถ้าตีความไปในแง่ดีก็ดูเหมือนกับทำให้เรารู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ทำลายสิ่งแวดล้อม เหมือนกับว่าใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงแต่มีปัจจัยสี่เพื่อความอยู่รอด ในภาวะที่ผกผันอัตคัดขาดแคลนสัตว์โลกก็ต้องมีความพยายามมากขึ้นเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด สัตว์ใดที่มีความอ่อนแอและไม่มีปัญญาพอที่จะเอาตัวรอดก็ตายไปไม่สามารถดำรงเผ่าพันธ์เอาไว้ได้ก็จะเหลือแต่เผ่าพันธ์ที่มีความเหมาะสมที่ยังคงอยู่ต่อไป แม้ว่าต่อมาภาวะขาดแคลนอัตคัดจะหายไปก็ตาม นอกจากนี้แล้วตามทฤษฎีของลามาร์คได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการว่า อวัยวะส่วนใดที่ไม่ได้ใช้ก็จะอ่อนแอและค่อยหายไป ถึงกับมีหลายคนเคยพูดไว้ว่าต่อไปมนุษย์ที่ไม่ได้ใช้แรงงาน ไม่ได้ใช้แรงงานเลยต่อไปนิ้วมือคงจะมีเพียงนิ้วเดียวไว้กดปุ่มเท่านั้น อวัยวะส่วนไหนใช้บ่อยก็จะพัฒนาขึ้น ถ้าตามทฤษฎีนี้ก็มีส่วนถูกอยู่เหมือนกัน เช่นถ้าเราเป็นคนถนัดขวาแล้วเราใช้งานแขนขวามากกว่าแขนซ้ายแน่นอน ถ้าเปรียบเทียบระหว่างแขนซ้ายและแขนขวาจะเห็นได้ชัดเจนว่าแขนขวาโตกว่าแขนข้างซ้าย
ถ้ามาเทียบเคียงกับการทำงานของสมองในการคิดแล้ว ถ้าไม่ฝึกฝนการคิดบ่อยๆ ก็น่าจะพัฒนาการไปในทางที่ดี น่าจะเป็นการต่อยอดจากการพัฒนาทางความคิดตามทฤษฏีพัฒนาการที่คิดแบบผู้ใหญ่คิดแบบนามธรรมได้ แต่จะคิดให้ได้ดีอย่างไรนั้นอยู่ที่การฝึกฝนเหมือนกัน
การคัดเลือกพันธ์ตามธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดตามทฤษฎีวิวัฒนาการของดาวิน ถ้าตีความไปในแง่ดีก็ดูเหมือนกับทำให้เรารู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ทำลายสิ่งแวดล้อม เหมือนกับว่าใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงแต่มีปัจจัยสี่เพื่อความอยู่รอด ในภาวะที่ผกผันอัตคัดขาดแคลนสัตว์โลกก็ต้องมีความพยายามมากขึ้นเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด สัตว์ใดที่มีความอ่อนแอและไม่มีปัญญาพอที่จะเอาตัวรอดก็ตายไปไม่สามารถดำรงเผ่าพันธ์เอาไว้ได้ก็จะเหลือแต่เผ่าพันธ์ที่มีความเหมาะสมที่ยังคงอยู่ต่อไป แม้ว่าต่อมาภาวะขาดแคลนอัตคัดจะหายไปก็ตาม นอกจากนี้แล้วตามทฤษฎีของลามาร์คได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการว่า อวัยวะส่วนใดที่ไม่ได้ใช้ก็จะอ่อนแอและค่อยหายไป ถึงกับมีหลายคนเคยพูดไว้ว่าต่อไปมนุษย์ที่ไม่ได้ใช้แรงงาน ไม่ได้ใช้แรงงานเลยต่อไปนิ้วมือคงจะมีเพียงนิ้วเดียวไว้กดปุ่มเท่านั้น อวัยวะส่วนไหนใช้บ่อยก็จะพัฒนาขึ้น ถ้าตามทฤษฎีนี้ก็มีส่วนถูกอยู่เหมือนกัน เช่นถ้าเราเป็นคนถนัดขวาแล้วเราใช้งานแขนขวามากกว่าแขนซ้ายแน่นอน ถ้าเปรียบเทียบระหว่างแขนซ้ายและแขนขวาจะเห็นได้ชัดเจนว่าแขนขวาโตกว่าแขนข้างซ้าย
ถ้ามาเทียบเคียงกับการทำงานของสมองในการคิดแล้ว ถ้าไม่ฝึกฝนการคิดบ่อยๆ ก็น่าจะพัฒนาการไปในทางที่ดี น่าจะเป็นการต่อยอดจากการพัฒนาทางความคิดตามทฤษฏีพัฒนาการที่คิดแบบผู้ใหญ่คิดแบบนามธรรมได้ แต่จะคิดให้ได้ดีอย่างไรนั้นอยู่ที่การฝึกฝนเหมือนกัน
สามัญการ
การจัดวิ่งมินิฮาฟมาราธอน และฟันรันที่ผ่านมา ข้าพเจ้าก็ได้ไปร่วมกิจกรรมการออกกำลังกายร่วมฉลอง 50 ปีกับเขาด้วย ได้มีท่านอาจารย์ท่านหนึ่งผู้ที่คร่ำหวอดกับการออกกำลังกายมานานท่านได้ชี้แนะว่า เวลาวิ่งจริงกับซ้อมต่างกัน เมื่อวิ่งในการแข่งขันนั้นทำให้ วิ่งเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว จะเป็นด้วยแรงจูงใจของผู้ที่มาวิ่งด้วยมากหน้าหลายตาที่สปีดกันเต็มที่ หรือเห็นมีเพื่อนเลยมีกำลังใจลืมเหนื่อยก็ไม่ทราบ เมื่อวิ่งเสร็จอีกวันก็จะปวดเมื่อยไปทั้งวัน และก็มีอาจารย์อีกท่านหนึ่งที่เข้าร่วมวิ่งฟันรันมาบอกว่า เออได้วิ่งฟันรันวิ่งเร็วด้วยกะจะให้เข้าเส้นชัยอันดับต้นๆ และตอนนี้ปวดเมื่อยตัว จึงอยากวิเคราะห์สาเหตุทางวิทยาศาสตร์สักเล็กน้อย
ความพยายามที่เราพยายามที่อธิบาย ทำนาย ควบคุมประสบการณ์ของเราโดยการหาสามัญการ (generalization) เกี่ยวกับรูปแบบหรือ ระเบียบแบบแผน (pattern or regularity) ดังที่เคยมีข้อสรุปเป็นสามัญการว่า จะเจ็บกล้ามเนื้อเมื่อทำงานหนักเกินไป หรือคุณภาพกับราคาจะต้องไปด้วยกัน หรือ การกระทำเห็นได้ชัดเจนกว่าคำพูด เพราะตามปกติไม่เคยเจ็บปวดถ้าใช้งานตามปกติ การที่เราทราบเกี่ยวกับการปวดกล้ามเนื้อ ทำให้เรากล่าวได้ว่า ฉันทำงานหนักเกินไปวานนี้ นั่นแหละคือสาเหตุที่ทำให้ปวด (เป็นการอธิบาย) หรือ ฉันอาจจะยังปวดอยู่ในวันพรุ่งนี้ (ทำนาย) หรือ ฉันจะไม่ทำงานหนักเกินไปวันนี้ (ควบคุม)
ในทำนองเดียวกันสามัญการอีกสองข้อหลังคือ คุณภาพกับราคาไปด้วยกัน และการกระทำเห็นได้ชัดกว่าคำพูดสามารถวิเคราะห์ได้ทำนองเดียวกันกับประการแรก นักวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกันสังเกตรูปแบบและสามัญการเกี่ยวกับสิ่งที่สังเกตนั้น แต่ทำโดยมีความละเอียดถูกต้องและให้มีความเชื่อมั่นสูง (precision and reliability) ที่จุดนี้เป็นเหตุผลสำคัญสำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์สามารถที่จะได้ประโยชน์จากการศึกษาวิทยาศาสตร์และวิธีการทางวิทยาศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่องมือต่างๆ ที่ชาญฉลาดมากมายและจัดการหาแนวทางในการค้นหารูปแบบที่มีในวัตถุและเหตุการณ์ต่างๆ สามัญการที่พวกเข้าสร้างขึ้นเพื่ออธิบายสิ่งที่เขากำลังสังเกต เช่น ฟอสซิลแสดงบางลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ได้สูญพันธ์ไปแล้ว อุปราคาเกิดขึ้นเมื่อโลก ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์เรียงตัวอยู่ในแนวเดียวกัน เป็นต้น
ความพยายามที่เราพยายามที่อธิบาย ทำนาย ควบคุมประสบการณ์ของเราโดยการหาสามัญการ (generalization) เกี่ยวกับรูปแบบหรือ ระเบียบแบบแผน (pattern or regularity) ดังที่เคยมีข้อสรุปเป็นสามัญการว่า จะเจ็บกล้ามเนื้อเมื่อทำงานหนักเกินไป หรือคุณภาพกับราคาจะต้องไปด้วยกัน หรือ การกระทำเห็นได้ชัดเจนกว่าคำพูด เพราะตามปกติไม่เคยเจ็บปวดถ้าใช้งานตามปกติ การที่เราทราบเกี่ยวกับการปวดกล้ามเนื้อ ทำให้เรากล่าวได้ว่า ฉันทำงานหนักเกินไปวานนี้ นั่นแหละคือสาเหตุที่ทำให้ปวด (เป็นการอธิบาย) หรือ ฉันอาจจะยังปวดอยู่ในวันพรุ่งนี้ (ทำนาย) หรือ ฉันจะไม่ทำงานหนักเกินไปวันนี้ (ควบคุม)
ในทำนองเดียวกันสามัญการอีกสองข้อหลังคือ คุณภาพกับราคาไปด้วยกัน และการกระทำเห็นได้ชัดกว่าคำพูดสามารถวิเคราะห์ได้ทำนองเดียวกันกับประการแรก นักวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกันสังเกตรูปแบบและสามัญการเกี่ยวกับสิ่งที่สังเกตนั้น แต่ทำโดยมีความละเอียดถูกต้องและให้มีความเชื่อมั่นสูง (precision and reliability) ที่จุดนี้เป็นเหตุผลสำคัญสำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์สามารถที่จะได้ประโยชน์จากการศึกษาวิทยาศาสตร์และวิธีการทางวิทยาศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่องมือต่างๆ ที่ชาญฉลาดมากมายและจัดการหาแนวทางในการค้นหารูปแบบที่มีในวัตถุและเหตุการณ์ต่างๆ สามัญการที่พวกเข้าสร้างขึ้นเพื่ออธิบายสิ่งที่เขากำลังสังเกต เช่น ฟอสซิลแสดงบางลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ได้สูญพันธ์ไปแล้ว อุปราคาเกิดขึ้นเมื่อโลก ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์เรียงตัวอยู่ในแนวเดียวกัน เป็นต้น
วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553
โชว์ที่หาดูได้ยาก
ได้มีโอกาสดู Science Show เรื่องหนึ่ง ทำให้คิดว่าคนที่จะมานำโชว์ให้คนอื่นดูนั้นต้องมีทักษะ ที่จะนำคนดูให้สนใจในส่งที่นำเสนอ ที่ดูโชว์คราวนี้เป็นรายการพิเศษที่องค์การพิพิธภัณฑ์ นำเสนอในที่ประชุมนานาชาติคั่นรายการขณะเลี้ยงคอกเทล ที่ว่าหาดูได้ยากเพราะเป็นโชว์เกี่ยวข้องกับการใช้ไนโตรเจนเหลว ซึ่งก็หาดูในสภาพปกติได้ยากต้องใช้กรรมวิธีพิเศษในการเตรียมขึ้นมาให้มีอุณหภูมิลดต่ำถึง -100 องศาเซลเซียส
แกสไนโตรเจนซึ่งมีอยู่ในอากาศประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์กับมนุษย์ แต่มีประโยชน์กับพื้ชเมื่อนำไปทำเป็นปุ๋ยไนโตรเจน แต่ผู้แสดงโชว์ไม่ได้แสดงให้ดูว่าทำขึ้นมาอย่างไร แต่ที่แสดงก็ตือ นำลูกโป่งรูปทรงยาวมาใส่ในกระติกไนโตรเจนเหลวนี้แล้วปรากฏว่าลูกโป่งค่อยๆยุบตัวให้ไปในกระติก แล้วเมื่อดึงออกมาเป็นลูกโป่งเหมือนกับตอนไม่ได้เป่า แต่เมื่อทิ้งไว้สักครู่หนึ่งค่อยๆ พองออกเองเหมือนลูกโปงที่เป่าเต็มที่เหมือนเดิม เมื่อเอาชิ้นยางในรถจักรยาน ตัดเป็นรูปลิ่มเล็กๆ แล้วใส่ในถังไนโตรเจนเหลวอีก เมื่อนำขึ้นมาแข็งมากนำด้านปลายแหลมไปตอกติดบนไม้ได้เลยเหมือนกับตอกตาปูติดอยู่ในไม้ได้
ที่กล่าวมานั้นนำวัตถุที่เป็นสารที่ไม่มีชีวิต แต่เมื่อนำดอกไม้ประกอบด้วยเซลล์มีชีวิตจุ่มลงไปในไนโตรเจนเหลวแล้วเมื่อนำออกมา ก็ยังคงสภาพเป็นดอกไม้แต่เมื่อใช้นิ้วมือดีดเบาๆ ก็แตกกระจายเป็นผุยผงหลงเหลืออยู่บ้าง ที่เป็นเช่นนี้เพราะน้ำที่มีอยู่ในเซลล์ขยายตัวทำให้เซลลแตกแยกเพราะเป็นน้ำแข็ง บางคนอาจสงสัยว่าแล้วทำไมเขาเอาเชื้ออสุจิไปแช่แข็งได้ก็เป็นเซลล์มีชีวิตเหมือนกัน แต่คำอธิบายจากนักวิทยาศาสตร์บอกว่า ส่วนใหญ่เป็นโปรตีนมีน้ำอยู่นิดหน่วยเท่านั้น ที่เขาเก็บไม่ให้ตัวอสุจิตายก็แช่ในไนโตรเจนเหลวที่แหละครับ
แกสไนโตรเจนซึ่งมีอยู่ในอากาศประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์กับมนุษย์ แต่มีประโยชน์กับพื้ชเมื่อนำไปทำเป็นปุ๋ยไนโตรเจน แต่ผู้แสดงโชว์ไม่ได้แสดงให้ดูว่าทำขึ้นมาอย่างไร แต่ที่แสดงก็ตือ นำลูกโป่งรูปทรงยาวมาใส่ในกระติกไนโตรเจนเหลวนี้แล้วปรากฏว่าลูกโป่งค่อยๆยุบตัวให้ไปในกระติก แล้วเมื่อดึงออกมาเป็นลูกโป่งเหมือนกับตอนไม่ได้เป่า แต่เมื่อทิ้งไว้สักครู่หนึ่งค่อยๆ พองออกเองเหมือนลูกโปงที่เป่าเต็มที่เหมือนเดิม เมื่อเอาชิ้นยางในรถจักรยาน ตัดเป็นรูปลิ่มเล็กๆ แล้วใส่ในถังไนโตรเจนเหลวอีก เมื่อนำขึ้นมาแข็งมากนำด้านปลายแหลมไปตอกติดบนไม้ได้เลยเหมือนกับตอกตาปูติดอยู่ในไม้ได้
ที่กล่าวมานั้นนำวัตถุที่เป็นสารที่ไม่มีชีวิต แต่เมื่อนำดอกไม้ประกอบด้วยเซลล์มีชีวิตจุ่มลงไปในไนโตรเจนเหลวแล้วเมื่อนำออกมา ก็ยังคงสภาพเป็นดอกไม้แต่เมื่อใช้นิ้วมือดีดเบาๆ ก็แตกกระจายเป็นผุยผงหลงเหลืออยู่บ้าง ที่เป็นเช่นนี้เพราะน้ำที่มีอยู่ในเซลล์ขยายตัวทำให้เซลลแตกแยกเพราะเป็นน้ำแข็ง บางคนอาจสงสัยว่าแล้วทำไมเขาเอาเชื้ออสุจิไปแช่แข็งได้ก็เป็นเซลล์มีชีวิตเหมือนกัน แต่คำอธิบายจากนักวิทยาศาสตร์บอกว่า ส่วนใหญ่เป็นโปรตีนมีน้ำอยู่นิดหน่วยเท่านั้น ที่เขาเก็บไม่ให้ตัวอสุจิตายก็แช่ในไนโตรเจนเหลวที่แหละครับ
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในโลกาภิวัฒน์ทุนนิยม
ในยุคโลกาภิวัฒน์เศรษฐกิจทุนนิยมดูเหมือนจะสอดคล้องกับวัตถุนิยม เพราะผู้มีทุนก็ต้องการลงทุนเพื่อให้ได้กำไรสูงสุดดังที่ทราบกันดี การที่จะให้ได้กำไรมากนั้นก็ต้องหาวิธียั่วยุชักจูงให้คนบริโภคให้มาก จากที่มีการสำรวจพบว่ามีการใช้งบในการโฆษณาไปทั่วโลกราว 450,000 ล้านดอลล่า และสิ่งของวัตถุที่เป็นที่ต้องการจำนวนมากไม่ได้มีความจำเป็นต้องการดำรงชีวิตเลย แต่ทุกคนก็แสวงหาไขว่คว้ามาจนบางครั้งยอมแม้กระทั่งต้องทำการทุจริตต่างๆนาๆ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
ส่ิงของวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถยนต์ เครื่องใช้อำนวยความสะดวกต่างๆ ก็เป็นผลมาจากการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์จนเกิดเป็นเทคโนโลยีที่วิศวกรคิดค้นขึ้นมาก็เพื่อสร้างความสะดวกสะบายให้กับมนุษย์และเพื่อแก้ปัญหาให้กับมนุษย์ และคิดว่าการมีวัตถุุสิ่งของมากจะช่วยสร้างความสุขได้มาก แต่มนุษย์ก็อาจจะลืมไปว่าความสุขความทุกข็เกิดมาจากความคิดของมนุษย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุุโดยตรง ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับจิตของมนุษย์ เมื่อไรก็ตามที่มนุษย์มุ่งเน้นไปที่วัตถุที่จะทำให้เกิดความสุขได้โดยปราศจากการควบคุมแล้วจะกลับนำความทุกข์ความชั่วร้ายกลับมาดังที่เราเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน
ในระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ โอกาสของผู้ที่ได้เปรียบในการแข่งขันจะยิ่งมีมากขึ้น ทำให้เกิดช่วงว่างระหว่างชนชั้นห่างมากขึ้น ชนชั้นที่มีรายได้มากก็จะใช้จ่ายบริโภคกว่ากลุ่มรากหญ็าคนจนนับสิบเท่าขึ้นไป การพัฒนาไปในลักษณะนี้ก็จะก่อให้ัเกิดการทำลายทรัพยากรมากขึ้น การมีช่วงว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากก่อให้เกิดปัญหาสังคมมากมายตามมา และโดยเฉพาะทำให้มีมิจฉาชีพเกิดขึ้นมากมายหลายรูปแบบ รวมทั้งอาชญากรรมรูปแบบต่างๆ ทางออกที่มักยังเข้าใจกันว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะเป็นกรรมเก่าเคยทำชั่วความดีไม่พอ ซึ่งก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่ที่แน่ๆ ถ้ายังปล่อยให้เป็ํนเช่นนี้เรื่อยๆ ให้ช่วงกว้างความแตกต่างมากขึ้นส่งผลในทางที่ไม่ดีแน่นอน ทางออกที่แท้จริงก็คือการบริหารจัดการ่ทรัพยากรให้ัมีการกระจายไปสู่ทุกกลุ่มอย่างสมดุลย์มีความยุติธรรมแล้วย่อมส่งผลให้ช่วงว่างลดลงได้แน่นอน
วิทยาศาสตร์เป็นความรู้สาธารณะที่ค้นพบและเผยแพร่โดยไม่ต้องซ์้ัอขาย แต่เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ซ์้อขายกัน เราคิดแต่จะขายเทคโนโลยีที่นำไปสร้างเป็นผลิตภัณฑ์สิงของเครื่องใช้ให้คนอยากได้กัน ย่ั่วให้คนอยากได้ แต่เรายังไม่ค่อยมีใครคิดค้นเทคโนโลยีลดความอยาก ลดการบริโภคเพื่อให้ัโลกอยู้่รอดปลอดภัยมากขึ้น เห็นจะมีแต่หลักของพุทธศาสนาเท่านั้นที่น่าจะเป็นเทคโนโลยีของการลดความอยาก ลดกิเลส ลดการบริโภค
ส่ิงของวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถยนต์ เครื่องใช้อำนวยความสะดวกต่างๆ ก็เป็นผลมาจากการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์จนเกิดเป็นเทคโนโลยีที่วิศวกรคิดค้นขึ้นมาก็เพื่อสร้างความสะดวกสะบายให้กับมนุษย์และเพื่อแก้ปัญหาให้กับมนุษย์ และคิดว่าการมีวัตถุุสิ่งของมากจะช่วยสร้างความสุขได้มาก แต่มนุษย์ก็อาจจะลืมไปว่าความสุขความทุกข็เกิดมาจากความคิดของมนุษย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุุโดยตรง ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับจิตของมนุษย์ เมื่อไรก็ตามที่มนุษย์มุ่งเน้นไปที่วัตถุที่จะทำให้เกิดความสุขได้โดยปราศจากการควบคุมแล้วจะกลับนำความทุกข์ความชั่วร้ายกลับมาดังที่เราเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน
ในระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ โอกาสของผู้ที่ได้เปรียบในการแข่งขันจะยิ่งมีมากขึ้น ทำให้เกิดช่วงว่างระหว่างชนชั้นห่างมากขึ้น ชนชั้นที่มีรายได้มากก็จะใช้จ่ายบริโภคกว่ากลุ่มรากหญ็าคนจนนับสิบเท่าขึ้นไป การพัฒนาไปในลักษณะนี้ก็จะก่อให้ัเกิดการทำลายทรัพยากรมากขึ้น การมีช่วงว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากก่อให้เกิดปัญหาสังคมมากมายตามมา และโดยเฉพาะทำให้มีมิจฉาชีพเกิดขึ้นมากมายหลายรูปแบบ รวมทั้งอาชญากรรมรูปแบบต่างๆ ทางออกที่มักยังเข้าใจกันว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะเป็นกรรมเก่าเคยทำชั่วความดีไม่พอ ซึ่งก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่ที่แน่ๆ ถ้ายังปล่อยให้เป็ํนเช่นนี้เรื่อยๆ ให้ช่วงกว้างความแตกต่างมากขึ้นส่งผลในทางที่ไม่ดีแน่นอน ทางออกที่แท้จริงก็คือการบริหารจัดการ่ทรัพยากรให้ัมีการกระจายไปสู่ทุกกลุ่มอย่างสมดุลย์มีความยุติธรรมแล้วย่อมส่งผลให้ช่วงว่างลดลงได้แน่นอน
วิทยาศาสตร์เป็นความรู้สาธารณะที่ค้นพบและเผยแพร่โดยไม่ต้องซ์้ัอขาย แต่เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ซ์้อขายกัน เราคิดแต่จะขายเทคโนโลยีที่นำไปสร้างเป็นผลิตภัณฑ์สิงของเครื่องใช้ให้คนอยากได้กัน ย่ั่วให้คนอยากได้ แต่เรายังไม่ค่อยมีใครคิดค้นเทคโนโลยีลดความอยาก ลดการบริโภคเพื่อให้ัโลกอยู้่รอดปลอดภัยมากขึ้น เห็นจะมีแต่หลักของพุทธศาสนาเท่านั้นที่น่าจะเป็นเทคโนโลยีของการลดความอยาก ลดกิเลส ลดการบริโภค
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
การสร้างสรรค์ตามธรรมชาติ
ความแตกต่างและความหลากหลายเป็นความสวยงามตามธรรมชาติ เราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติก็มีความแตกต่างความหลากหลาย แต่ถ้าเริ่มคิดจากความโกลาหน สับสนอลหม่านตั้งแต่การปรากฏตัวของจักรวาลไม่เคยหยุดนิ่ง เปิดกว้างและหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ท่ามกลางความเคลื่อนไหวก็มีจุดหนึ่งของจักรวาลอันเป็นที่เกิดของรูปลักษณ์แห่งความมั่นคง พลังแห่งความรักที่งดงามก่อให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งอื่นๆ อีกตามมา เป็นสองพลังตั้งต้นของการสร้างสรรค์ จากความโกลาหลและความรัก เป็นสองพลังตั้งต้นที่มีอยู่ในความขัดแย้งและความสอดคล้องที่ก่อให้เกิดทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้จัก
สิ่งที่อยู่ในจินตนาการของเราและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เรามี อยู่ท่ามกลางความแปรปรวนที่นับวันจะมีมากขึ้น มีความสัมพันธ์ใหม่ๆ มากขึ้นที่จะดึงความแปลกแยกกลับเข้าสู่ธรรมชาติดั้งเดิมมากขึ้น เป็นกระบวนการของชีวิต อันก่อให้เกิดพลังแห่งการสร้างสรรค์
สิ่งที่อยู่ในจินตนาการของเราและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เรามี อยู่ท่ามกลางความแปรปรวนที่นับวันจะมีมากขึ้น มีความสัมพันธ์ใหม่ๆ มากขึ้นที่จะดึงความแปลกแยกกลับเข้าสู่ธรรมชาติดั้งเดิมมากขึ้น เป็นกระบวนการของชีวิต อันก่อให้เกิดพลังแห่งการสร้างสรรค์
วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วิทยาศาสตร์การเมือง
ตอนนี้หลายคนอาจคิดว่าการเมืองร้อนแรงอยู่ในภาวะวิกฤติ ถึงขั้นเข้าสู่ทางตัน ที่ความคิดเห็นที่แตกต่างทำให้ขยายไปสู่ความแตกแยก ความสับสนอลม่าน ที่หลายคนคิดว่าอาจจะนำไปสู่การการล่มสลายของสังคม ในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้มองไปในลักษณะนั้น แต่มองเป็นกระบวนการธรรมชาติที่เมื่อระบบถูกรบกวนจนเกิดความไร้ระเบียบขึ้น ก็จะมีแนวทางที่จะทำให้เกิดความมีระเบียบมากขึ้น ซึ่งในธรรมชาตินั้นได้พบแล้วว่าในความไม่เป็นระเบียบนั้นมีความเป็นระเบียบอยู่ภายใน และในความมีระเบียบก็มีความไม่เป็นระเบียบอยู่ภายในเช่นเดียวกัน แม้ว่าสิ่งที่มารบกวนต่อระบบจะดูเหมือนว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่เมื่อสมาชิกในระบบพิจารณาว่าเป็นสิ่งสำคัญและนำเข้ามาในระบบแล้ว ก็จะมีการแพร่กระจายของข้อมูลสารสนเทศนั้นไปอย่างรวดเร็ว และจนกระทั่งมีผลการะทบต่อระบบอย่างรุนแรงแล้ว สมาชิกในระบบก็จะพิจารณาว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในระบบอย่างแท้จริง
มีการคิดว่ากระบวนการทางสังคมก็เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเราเคยได้ยินคำว่าวิทยาศาสตร์สังคม และคำว่าวิทยาศาสตร์การเมืองนั้นแปลตรงๆ มาจากคำว่า political science ซึ่งเราแปลมาใช้ว่า รัฐศาสตร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เช่นเดียวกับคำว่า management science ที่หมายถึงวิทยาการจัดการ คำว่า science นั้นคงหมายถึงศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความจริงเรื่องราวในศาสตร์นั้นๆ ไม่ได้หมายความว่าวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวแต่มีมิติทางศิลปวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และที่จะทำให้ศาสตร์เหล่านี้เป็นเรื่องที่มีเหตุผล มีตรรกะ มีที่ไปที่มาการศึกษาในแต่ละศาสตร์ มักจะอาศัยการศึกษาตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาเกึ่ยวข้องด้วยจึงจะได้รับความเชื่อถือยอมรับมากยิ่งขึ้น การศึกษาวิจัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยหาทางออกให้กับประเทศ ให้กับปัญหาที่นำไปสู่วิกฤตและทางตัน ถ้ามีผลการศึกษาที่สามารถตอบคำถามที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันในทางเดียวกัน ซึ่งจะได้ข้อสรุปอันเป็นข้อตัดสินให้กับสังคมได้ทางหนึ่ง สามารถช่วยผ่าทางตันได้อีกทางหนึ่ง นอกจากว่าเราไม่มีการศึกษาอะไรที่จะใช้ยึดเป็นหลัก ซึ่งการพูดคุยเสวนาเพียงอย่างเดียวคงไม่พอกับสถานะการณ์ปัจจุบัน ซึ่งจำเป็นต้องใช้หลายทางประกอบกัน
มีการคิดว่ากระบวนการทางสังคมก็เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเราเคยได้ยินคำว่าวิทยาศาสตร์สังคม และคำว่าวิทยาศาสตร์การเมืองนั้นแปลตรงๆ มาจากคำว่า political science ซึ่งเราแปลมาใช้ว่า รัฐศาสตร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เช่นเดียวกับคำว่า management science ที่หมายถึงวิทยาการจัดการ คำว่า science นั้นคงหมายถึงศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความจริงเรื่องราวในศาสตร์นั้นๆ ไม่ได้หมายความว่าวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวแต่มีมิติทางศิลปวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และที่จะทำให้ศาสตร์เหล่านี้เป็นเรื่องที่มีเหตุผล มีตรรกะ มีที่ไปที่มาการศึกษาในแต่ละศาสตร์ มักจะอาศัยการศึกษาตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาเกึ่ยวข้องด้วยจึงจะได้รับความเชื่อถือยอมรับมากยิ่งขึ้น การศึกษาวิจัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยหาทางออกให้กับประเทศ ให้กับปัญหาที่นำไปสู่วิกฤตและทางตัน ถ้ามีผลการศึกษาที่สามารถตอบคำถามที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันในทางเดียวกัน ซึ่งจะได้ข้อสรุปอันเป็นข้อตัดสินให้กับสังคมได้ทางหนึ่ง สามารถช่วยผ่าทางตันได้อีกทางหนึ่ง นอกจากว่าเราไม่มีการศึกษาอะไรที่จะใช้ยึดเป็นหลัก ซึ่งการพูดคุยเสวนาเพียงอย่างเดียวคงไม่พอกับสถานะการณ์ปัจจุบัน ซึ่งจำเป็นต้องใช้หลายทางประกอบกัน
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
จากการเล่นสู่การปฏิบัติและใช้งานจริง
การพัฒนาคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะมาเป็นคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียในปัจจุบันนั้น นั้นวงจรสร้างเสียงมีใช้เล่นกันในเกมส์ก่อนที่จะมาเป็นแผงวงจรเสียงที่เรียกว่า ซาวด์การ์ด หรือที่ผนึกมาในแผงวงจรหลักหรือเมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
ต่อมามีการนำคอมพิวเตอร์มาจำลองแบบหรือซิมูเลท ทำให้นำไปใช้ลดต้นทุนด้านต่างๆ เช่นการทดลองในสถานะการณ์ที่เป็นอันตราย ก็ให้ทำการทดลองจากการจำลองแบบกับคอมพิวเตอร์ก่อน และที่เป็นของเล่นมาก่อนคือการฝึกการควบคุมเครื่องบิน และค็อปเตอร์ขนาดเล็ก สามารถจำลองแบบมาไว้ในคอมพิวเตอร์สำหรับนักบินจริงๆ ก่อนที่จะฝึกบินจริงๆ ได้
ปัจจุบันของเล่นที่เป็นเครื่องบินเล็ก ฮีลีค็อปเตอร์ หรือเครื่องบินต่างๆ ใช้อุปกรณ์บังคับด้วยวิทยุที่สามารถบังคับตั้งแต่การสตาร์สเครื่องเดินหน้า ถอยหลัง บินขึ้นลง เลี้ยวซ้ายขวา และคันบังคับอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกับแผงบังคับในเครื่องบินจริงๆ หรืออากาศยานจริง และที่ก้าวหน้ากว่านั้นก็คือว่าจากแผงบังคับดังกล่าวสามารถอินเตอร์เฟสกับคอมพิวเตอร์ ใช้แผงบังคับดังกล่าวควบคุมเครื่องบินที่เจนเนอร์เรทหรือสร้างขึ้นจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้เหมือนกับเครื่องบินจริงหรืออากาศยานของจริงที่ใช้เล่น ใช้ปุ่มทุกปุ่มที่เคยบังคับเครื่องจริงๆ เหตุผลที่ต้องมาเล่นกับการจำลองแบบในคอมพิวเตอร์ก่อนให้ชำนาญ แล้วจึงไปบังเครื่องจริง นั้นก็เพราะว่าแม้ว่าจะเป็นเครื่องบินเล็ก หรือค็อปเตอร์ขนาดเล็ก แต่ก็ราคาแพงอยู่ในระดับตั้งแต่สองหมื่นบาทไปถึงหลายหมื่นบาทก็มี ถ้าควบคุมไม่ดีก็จะทำให้เครื่องเสียหายได้
ปัจจุบันหลักสูตรการบินทั้งหลายในการฝึกบินนั้นก็ให้ฝึกกับคอมพิวเตอร์ที่จำลองแบบให้เหมือนกับเครื่องบินจริงๆ และฝึกการควบคุมต่างๆจนชำนาญก่อนจึงจะเริ่มไปฝึกกับเครื่องบินจริงๆ กับครูฝึก ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการฝึกบิน ลดอุบัติเหตุและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น และเพื่อประหยัดเวลาในการฝึกได้จริง จากนี้จึงสรุปได้ว่าการจำลองแบบทำเป็นของเล่นในระยะแรกนั้นจะค่อยพัฒนาไปสู่การประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ในที่สุดเสมอ
ต่อมามีการนำคอมพิวเตอร์มาจำลองแบบหรือซิมูเลท ทำให้นำไปใช้ลดต้นทุนด้านต่างๆ เช่นการทดลองในสถานะการณ์ที่เป็นอันตราย ก็ให้ทำการทดลองจากการจำลองแบบกับคอมพิวเตอร์ก่อน และที่เป็นของเล่นมาก่อนคือการฝึกการควบคุมเครื่องบิน และค็อปเตอร์ขนาดเล็ก สามารถจำลองแบบมาไว้ในคอมพิวเตอร์สำหรับนักบินจริงๆ ก่อนที่จะฝึกบินจริงๆ ได้
ปัจจุบันของเล่นที่เป็นเครื่องบินเล็ก ฮีลีค็อปเตอร์ หรือเครื่องบินต่างๆ ใช้อุปกรณ์บังคับด้วยวิทยุที่สามารถบังคับตั้งแต่การสตาร์สเครื่องเดินหน้า ถอยหลัง บินขึ้นลง เลี้ยวซ้ายขวา และคันบังคับอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกับแผงบังคับในเครื่องบินจริงๆ หรืออากาศยานจริง และที่ก้าวหน้ากว่านั้นก็คือว่าจากแผงบังคับดังกล่าวสามารถอินเตอร์เฟสกับคอมพิวเตอร์ ใช้แผงบังคับดังกล่าวควบคุมเครื่องบินที่เจนเนอร์เรทหรือสร้างขึ้นจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้เหมือนกับเครื่องบินจริงหรืออากาศยานของจริงที่ใช้เล่น ใช้ปุ่มทุกปุ่มที่เคยบังคับเครื่องจริงๆ เหตุผลที่ต้องมาเล่นกับการจำลองแบบในคอมพิวเตอร์ก่อนให้ชำนาญ แล้วจึงไปบังเครื่องจริง นั้นก็เพราะว่าแม้ว่าจะเป็นเครื่องบินเล็ก หรือค็อปเตอร์ขนาดเล็ก แต่ก็ราคาแพงอยู่ในระดับตั้งแต่สองหมื่นบาทไปถึงหลายหมื่นบาทก็มี ถ้าควบคุมไม่ดีก็จะทำให้เครื่องเสียหายได้
ปัจจุบันหลักสูตรการบินทั้งหลายในการฝึกบินนั้นก็ให้ฝึกกับคอมพิวเตอร์ที่จำลองแบบให้เหมือนกับเครื่องบินจริงๆ และฝึกการควบคุมต่างๆจนชำนาญก่อนจึงจะเริ่มไปฝึกกับเครื่องบินจริงๆ กับครูฝึก ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการฝึกบิน ลดอุบัติเหตุและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น และเพื่อประหยัดเวลาในการฝึกได้จริง จากนี้จึงสรุปได้ว่าการจำลองแบบทำเป็นของเล่นในระยะแรกนั้นจะค่อยพัฒนาไปสู่การประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ในที่สุดเสมอ
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ควันหลงกิจกรรมจรวจขวดน้ำคาราวานวิทยาศาสตร์
การจัดกิจกรรมแข่งขันจรวจขวดน้ำเป็นไฮไลท์ คาราวานวิทยาศาสตร์ในรูปของนิทรรศการแบบมีส่วนร่วม ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ในวันแรกก็ไม่ถึงกับแน่นขนัด แต่ในวันถัดไปนั้น ถือว่าแน่นมากจนครูที่นำนักเรียนมากถึงกับบ่นว่า แน่นเกินไปจนอึดอัด น่าจะมีสถานที่จัดที่กว้างขวางกว่านี้ นี่ขนาดว่าทางคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่ได้จัดกิจกรรมใดๆ มาเสริมเลย แม้ว่าจะมีการนำนักเรียนไปร่วมชมการแสดง science show แล้วก็ตาม และนักเรียนส่วนหนึ่งก็บ่นอีกว่า science show ชุดนี้นั้นเคยมาแสดงที่นครแล้ว น่าจะจัดชุดที่ไม่เคยแสดงที่นครก็จะดีเยี่ยม
จากการพบปะพูดคุยกับครูที่นำนักเรียนมา โดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลออกไป ทางโรงเรียนให้การสนับสนุน ที่จะให้นักเรียนมีประสบการณ์นอกห้องเรียน และได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัย โดยนักเรียนส่วนใหญ่ก็ตื่นเต้นที่ได้มา เมื่อถามนักเรียนว่ามีใครไม่อยากมาบ้าง ก็ได้รับคำตอบว่าอยากมากันทุกคน แต่น่าแปลกว่ามีหลายโรงเรียนที่อยู่ในตัวเมืองก็ไม่ได้จัดรถให้นักเรียนได้มาดู แต่มักจะเป็นนักเรียนรอบนอกเสียมากกว่า และเมื่อดูกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่มาจัดในคราวนี้นั้น เนื้อหาที่จัดนั้นมีหลายส่วนที่น่าจะอยู่ในระดับมัธยม แต่ก็มีนักเรียนระดับมัธยมมาน้อย
ครูคนหนึ่งที่นำนักเรียนไปชม science show ได้เล่าเรื่องขณะที่กำลังชมกันนั้นก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผู้แสดง science show ได้ถามนักเรียนว่าอยู่ชั้นไหน ชั้นหนึ่งหรือสอง ไม่มีใครตอบว่าอยู่ชั้นสองเลย ทั้งๆที่นักเรียนที่มานั้นมีทุกชั้นในระดับประถม ก็ได้ความว่าโรงเรียนที่นักเรียนเรียนอยู่นั้นเป็นอาคารชั้นเดียว คงจะเข้าใจผิดเรื่องคำถามจึงไม่มีใครตอบเลยว่าอยู่ชั้นสองหรือชั้นสาม (ชั้นประถมสอง หรือประถมสาม) นอกจากนี้ครูยังเล่าต่อไปว่า นักเรียนจะรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาเที่ยวมหาวิทยาลัยได้มาเห็นอาคารใหญ่ๆ มีอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่ในโรงเรียนของพวกเขาแทบไม่มีอะไร บ้างก็มานับตึกสูงที่สุดได้กี่ชั้น บ้างก็หาโอกาสตอนว่างไปขึ้นลิฟท์ เพราะบางคนในชีวิตไม่เคยขึ้นลิฟท์เลย ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาที่จะเรียนรู้โดยประสบการณ์ตรง ถ้าหากมหาวิทยาลัยได้มีโอกาสสร้างความประทับใจให้เด็กๆ ไว้ตั้งแต่ตอนประถม ก็มีแนวโน้มว่าเมื่อจบ ม.6 อาจจะเลือกเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยที่เคยสร้างความประทับใจไว้ให้
จากการพบปะพูดคุยกับครูที่นำนักเรียนมา โดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลออกไป ทางโรงเรียนให้การสนับสนุน ที่จะให้นักเรียนมีประสบการณ์นอกห้องเรียน และได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัย โดยนักเรียนส่วนใหญ่ก็ตื่นเต้นที่ได้มา เมื่อถามนักเรียนว่ามีใครไม่อยากมาบ้าง ก็ได้รับคำตอบว่าอยากมากันทุกคน แต่น่าแปลกว่ามีหลายโรงเรียนที่อยู่ในตัวเมืองก็ไม่ได้จัดรถให้นักเรียนได้มาดู แต่มักจะเป็นนักเรียนรอบนอกเสียมากกว่า และเมื่อดูกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่มาจัดในคราวนี้นั้น เนื้อหาที่จัดนั้นมีหลายส่วนที่น่าจะอยู่ในระดับมัธยม แต่ก็มีนักเรียนระดับมัธยมมาน้อย
ครูคนหนึ่งที่นำนักเรียนไปชม science show ได้เล่าเรื่องขณะที่กำลังชมกันนั้นก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผู้แสดง science show ได้ถามนักเรียนว่าอยู่ชั้นไหน ชั้นหนึ่งหรือสอง ไม่มีใครตอบว่าอยู่ชั้นสองเลย ทั้งๆที่นักเรียนที่มานั้นมีทุกชั้นในระดับประถม ก็ได้ความว่าโรงเรียนที่นักเรียนเรียนอยู่นั้นเป็นอาคารชั้นเดียว คงจะเข้าใจผิดเรื่องคำถามจึงไม่มีใครตอบเลยว่าอยู่ชั้นสองหรือชั้นสาม (ชั้นประถมสอง หรือประถมสาม) นอกจากนี้ครูยังเล่าต่อไปว่า นักเรียนจะรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาเที่ยวมหาวิทยาลัยได้มาเห็นอาคารใหญ่ๆ มีอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่ในโรงเรียนของพวกเขาแทบไม่มีอะไร บ้างก็มานับตึกสูงที่สุดได้กี่ชั้น บ้างก็หาโอกาสตอนว่างไปขึ้นลิฟท์ เพราะบางคนในชีวิตไม่เคยขึ้นลิฟท์เลย ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาที่จะเรียนรู้โดยประสบการณ์ตรง ถ้าหากมหาวิทยาลัยได้มีโอกาสสร้างความประทับใจให้เด็กๆ ไว้ตั้งแต่ตอนประถม ก็มีแนวโน้มว่าเมื่อจบ ม.6 อาจจะเลือกเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยที่เคยสร้างความประทับใจไว้ให้
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ก้าวสู่การเป็นนักเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์
จากการที่ผู้เขียนได้เข้าร่วมอบรมเชิง ปฏิบัิตการ เรื่องการเขียนเรื่องเผยแพร่ ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีวิทยากรจากชมรมนักเขียนวิทยาศาสตร์ จากความคิดริเริ่มของคุณ ปรีชา อมาตยกุล เริ่มบรรยายจากคุณ จุึมพล เหมะศิรินทร์ ได้แนะนำเคล็ดลับ 3 ขั้นง่ายที่ทราบกันทั่วไป คือ (1) ต้องชอบหรือมีฉันทะ การชอบจะทำให้รุ่งมากกว่า ไปได้ไกลกว่าการทำตามหน้าที่ (2) ต้องอ่านต้องฟัง นำมาคิดขยายผลการอ่านสะสมข้อมูลความรู้ ประสบการณ์ (3) มีเวลาลงมือเขียน โดยการเขียนไม่มีกฏ ทฤษฎีที่ตายตัว โดยมีข้อคำนึงก่อนการเขียนคือ มีจุดประสงค์การเขียน เผยแพร่ที่ไหน อย่างไร ผู้รับสารเป็นใคร นอกจากนี้ท่านยังได้แนะการเขียนข่าว โดยยึดหลัีก 5W1Hอันได้แก่ Who What Where When Why และ How
สำหรับแนวการเขียนนั้น สำหรับผู้เริ่มต้นให้มีสามส่วนหลักคือ ส่วนนำเป็นการปูพื้นนำเข้าสู่เรื่องสำคัญ ส่วนที่เป็นเนื้อเรื่อง อาจมีหัวข้อย่อย มีลูกเล่น และสุัดท้ายส่วนสรุป หรือคำลงท้าย ในแต่ละบทความควรที่จะมี ลำดับเรื่องที่ดี การทำเรื่องยากให้ง่ายอาจทำได้โดยวิธีการเปรียบเทียบ การใช้สำนวนภาษาให้เหมาะกับผู้รับสาร และติดตามพัฒนางานเขียนแก้ไขข้อบกพร่อง
วิทยากรอีกท่านหนึ่งคือคุณ สาโรจน์ เกษมสุขโชติกุล บรรณาธิการนิตยสาร โลกวิทยาศาสตร์ (science world) ได้แนะนำหลักการเขียนเป็น 9 เคล็ด (ไม่ลับ) ที่เป็นคำคล้องจองกัน ก้าวสู่การเป็นนักเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์ที่สามารถนำไปใช้กับงานเขียนทั่วไป ได้คือ
1. รักการอ่าน
2. เชี่ยวชาญหาข้อมูล
3. เข้าใจจูนกลุ่มเป้าหมาย
4. พริ้งพราววางโครงเรื่อง
5. สติเฟื่องตั้งชื่อเด่น
6. รู้เล่นวรรคตอนและภาษา
7. พํฒนาปรุงศัพท์ให้เข้าตา
8. หาเวลาลงมือเขียน
9. ใผ่รู้เพื่อปรับปรุง
นอกจากนี้ยังแนะนำ 8(โป้ยเซียน) คุณค่าเข้าตาสื่อ สำหรับผู้ที่จะส่งไปลงในสื่อประเภทต่างๆ ดังนี้
1. ขายความเป็นที่สุด
2. จุดประกายความหวัง
3.ฝากฝังข้อเกี่ยวพันธ์ (อิงกระแส)
4. ดันแนบแอบคนดัง
5. เพิ่มพลังด้วยตัวเลข
6. เอกลักษณ์เน้นจำกัด
7. อัดเรืองลี้ลับ ปริศนา
8. พาเพลินกับความใหม่ แปลก
นอกจากนี้ยังได้ให้ข้อคิดในการเขียนหรือทำสารคดีวิทยศาสตร์เป็นวิดิโอหรือโทรทัศน์ที่ต้องคำนึงถึง
1. กลุ่มเป้าหมาย
2. เรื่องใกล้ตัว
3. เหตุการณ์ปัจจุบัน
4. มุมมองใหม่
5. เป็นไปได้ในการผลิต
สำหรับแนวการเขียนนั้น สำหรับผู้เริ่มต้นให้มีสามส่วนหลักคือ ส่วนนำเป็นการปูพื้นนำเข้าสู่เรื่องสำคัญ ส่วนที่เป็นเนื้อเรื่อง อาจมีหัวข้อย่อย มีลูกเล่น และสุัดท้ายส่วนสรุป หรือคำลงท้าย ในแต่ละบทความควรที่จะมี ลำดับเรื่องที่ดี การทำเรื่องยากให้ง่ายอาจทำได้โดยวิธีการเปรียบเทียบ การใช้สำนวนภาษาให้เหมาะกับผู้รับสาร และติดตามพัฒนางานเขียนแก้ไขข้อบกพร่อง
วิทยากรอีกท่านหนึ่งคือคุณ สาโรจน์ เกษมสุขโชติกุล บรรณาธิการนิตยสาร โลกวิทยาศาสตร์ (science world) ได้แนะนำหลักการเขียนเป็น 9 เคล็ด (ไม่ลับ) ที่เป็นคำคล้องจองกัน ก้าวสู่การเป็นนักเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์ที่สามารถนำไปใช้กับงานเขียนทั่วไป ได้คือ
1. รักการอ่าน
2. เชี่ยวชาญหาข้อมูล
3. เข้าใจจูนกลุ่มเป้าหมาย
4. พริ้งพราววางโครงเรื่อง
5. สติเฟื่องตั้งชื่อเด่น
6. รู้เล่นวรรคตอนและภาษา
7. พํฒนาปรุงศัพท์ให้เข้าตา
8. หาเวลาลงมือเขียน
9. ใผ่รู้เพื่อปรับปรุง
นอกจากนี้ยังแนะนำ 8(โป้ยเซียน) คุณค่าเข้าตาสื่อ สำหรับผู้ที่จะส่งไปลงในสื่อประเภทต่างๆ ดังนี้
1. ขายความเป็นที่สุด
2. จุดประกายความหวัง
3.ฝากฝังข้อเกี่ยวพันธ์ (อิงกระแส)
4. ดันแนบแอบคนดัง
5. เพิ่มพลังด้วยตัวเลข
6. เอกลักษณ์เน้นจำกัด
7. อัดเรืองลี้ลับ ปริศนา
8. พาเพลินกับความใหม่ แปลก
นอกจากนี้ยังได้ให้ข้อคิดในการเขียนหรือทำสารคดีวิทยศาสตร์เป็นวิดิโอหรือโทรทัศน์ที่ต้องคำนึงถึง
1. กลุ่มเป้าหมาย
2. เรื่องใกล้ตัว
3. เหตุการณ์ปัจจุบัน
4. มุมมองใหม่
5. เป็นไปได้ในการผลิต
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)