หน้าเว็บ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความหวังหรือความฝันค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และ เงินเดือนปริญญาตรี 15000 บาท

จากนโยบายรัฐบาล ค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 300 บาททันที และเงินเดือนปริญญาตรี 15000 บาท ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลขณะชนะการเลือกตั้ง ตอนนี้ก็เริ่มเห็นว่าที่เป็นความหวังจะกลายเป็นความฝันหรือเปล่าก็ยังไม่แน่นอน
ค่าแรงขั้นต่ำที่จะได้ 300 บาทนั้นก็ไม่ทั่วถึงได้ไม่กี่จังหวัดที่ประกาศไปแล้ว และก็ไม่ทันที และกว่าจะได้ครบทุกจังหวัดก็อาจจะขยายเวลาไปอีกจากที่เคยประกาศไว้แล้วเพราะจากภัยน้ำท่วมที่ผ่านมาที่เสียหายมหาศาลอย่างไม่เคยมีมาก่อน ก็ต้องไปเยียวยาน้ำท่วมก่อนเป็นธรรมดา เช่นเดียวกับการแจกแทบเล็ตให้โรงเรียน แค่นำร่องก็ต้องประกาศเลื่อนไปปีหน้า สำหรับค่าแรงขั้นต่ำนั่นก็ไม่แน่ว่าขณะนั้นค่าครองชีพได้พุงไปแรงกว่าค่าแรงขั้นต่ำหรือเปล่า ดังจะเห็นได้จากราคาสินค้าทั้งอุปโภคบริโภคได้พุ่งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดูจากราคาอาหารที่ไปชื้อกินก็แล้วกัน

นโยบายรัฐบาลเงินเดือนปริญญาตรี 15000บาท ตอนหาเสียงในรายละเอียดไม่ได้บอกให้ชัด แต่ก็ได้รับการขานรับเป็นความหวัง เมื่อถึงขั้นปฏิบัติจริงก็ดูว่าความหวังจะกลายเป็นความฝันยังเอาแน่นอนไม่ได้ว่าจะได้เมื่อไรและจะดำเนินการอย่างไรที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้เพราะขนาดในหน่วยงานราชการเอง ที่มีกลไกของรัฐบาลกำกับดูแลก็ยังปฏิบัติไม่ได้ หน่วยงานของรัฐก็ยังคงบรรจุตำแหน่งงานตามคุณวุฒิการศึกษา ได้รับเงินเดือนขั้นต่ำปริญญาตรีปริญญาโทไม่เกิน 10000 บาท และปริญญาเอกไม่เกิน 12000 บาท

ปัญหาหลักๆ ของรัฐบาลจะหาเงินมหาศาลมาจากไหน เพราะขณะนี้ต้องใช้เงินเยียวยาหลังน้ำลดจากอุทกภัยครั้งใหญ่จำนวนมากเกินกว่าที่คาดคิด และจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย และจากผลผลิตมวลรวมของเราก็ลดลงจากผลของอุทกภัย จะให้เก็บภาษีเกินเป้าหรือให้ส่งออกเพิ่มขึ้นนั้นยากมาก นอกจากกู้และนำเงินคงคลังมาใช้ ซึ่งรัฐบาลต้องระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น

ปัญหาในการขึ้นเงินเดือนตอนหาเสียงเคยได้ยินจากปากของดร.ภาวิชย์ ทองโรจน์ ว่าขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 15000 บาททำไมจะทำไม่ได้ สร้างรถไฟฟ้าแต่ละสายเป็นแสนล้านยังทำได้ ทำไม่จะนำมาขึ้นเงินเดือนไม่ได้ ตอนนั้น..น่าเชื่อถือมาก แต่พอนึกว่าจะให้คนจบปริญญาตรีทั้งภาครัฐภาคเอกชนขั้นต่ำ 15000 บาททุกคนก็ทำยากแล้ว ไม่รู้จะบังคับกันยังไงถ้าไม่มีเงินจ่าย หากธุรกิจไม่ได้กำไรหรือกำไรน้อย ประการต่อมาก็คือ คนที่จบปริญญาโทปริญญาเอกจะให้เงินเดือนเท่าใดเมื่อบรรจุในครั้งแรก ก็ไม่มีรายละเอียดอีก และสำหรับคนที่เพิ่งรับราชการ หรือคนที่เป็นอัตราจ้างที่ทำงานมาแล้วไม่กี่ปีจะให้เงินเดือนเป็นยังไงก็ไม่มีรายละเอียดว่าจะให้เงินเดือนเยียวยาอย่างไร ซึ่งจะต้องปรับให้มีความสอดคล้องกัน มิฉะนั้นแล้วขวัญและกำลังใจในการทำงาน จะให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลก็ยากไปอีก จะเห็นว่าการขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 15000 บาทมีผลกระทบต่อเนื่องไปยัง คนทำงานระดับอื่นๆ หากเกิดความไม่เป็นธรรมก็คงจะเรียกร้องกันไม่สิ้นสุดต่อไป

สำหรับวันนี้ หากบางสถาบันการศึกษาที่ไม่มีรายได้เสริมมากนักจะต้องจ้างบุคลากรเพิ่มเติม ในบางคุณวุฒิบางสาขาก็ยากขึ้นไปอีก เมื่อประกาศรับปริญญาเอก ให้เงินเดือน 12000 บาทอาจจะหาคนสมัครยากขึ้น หากสถาบันการศึกษาอื่นเสนอเงินเดือนหรือสวัสดิการที่สูงกว่า ก็เป็นทางเลือกให้ผู้มีคุณวุฒิตามที่ต้องการไปสมัครมากกว่า จึงอยากให้นโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 15000 บาทเป็นจริง อย่าได้เป็นแค่ความหว้งนานเกินไป หรือทำให้ความฝันเป็นจริง

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ปัจจัยผลกระทบของการแตกความสามัคคี

ข้อคิดดีๆ จากท่าน ว.วชิระเมธี ซึ่งเช้านี้มีข้อความเขียนแสดงให้เห็นและพิธีกรอ่านให้ฟัง ซึ่งมีใจความว่า "หากคนในประเทศแตกความสามัคคี ไม่มีใครมาตีหรือเพื่อนไม่มาตีก็แตกอยู่แล้ว" ซึ่งเหมาะกับสถานะการณ์ขณะนี้ ที่คนไทยแตกความสามัคคี ที่มีการเรียกร้องต่างๆ โดยการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ซึ่งพบว่าก่อให้เกิดความขัดแย้งในชาติ ทำให้รู้สึกว่าเกิดความแตกความสามัคคีเหมือนกับที่ท่าน ว.วชิระเมธีได้ให้ข้อคิดไว้ หากว่ามีกลุ่มใดที่มาชุมนุมแล้วเราเห็นว่าก่อให้เกิดความรักความสามัคคีของ คนในชาติก็น่าจะให้ความสนับสนุนกันให้มากๆ เพราะถ้าคนในชาติไม่รู้รักสามัคคึกันแล้ว จะให้ใครที่ไหนมารักเรา
และในรายการของดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทองได้มาออกรายการทีวีรายการหนึ่งก็พูดไว้น่าคิดเหมือนกัน คือท่านได้พูดว่าในประเทศเรามีทีวีดาวเทียมเอกชนไม่ว่าฝ่ายไหน ที่กระจายเสียงอยู่ทั่วประเทศครอบคลุมเกือบทั่วประเทศ แทนที่จะนำมาเผยแพร่สิ่งดีๆ สร้างความสามัคคีในชาติ และประชาสัมพันธ์ให้ต่างประเทศได้รู้จักประเทศไทย กลับมีรายการโจมตีแต่รัฐบาลเป็นหลัก และจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม กลับสร้างความขัดแย้งให้เกิดชึ้นมากขึ้น ก็เหหมือนกับที่ท่าน ว.วชิระเมธีกล่าวไว้ มีส่วนสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในชาติใครไม่มาตีเราก็แตกเอง

และอีกรายการหนึ่งที่ดร.วิษนุ เครืองามมาออกรายโทรทัศน์รายการหนึ่ง ที่ได้เล่าให้ฟังตอนที่อยู่ในประเทศอินเดียว่า ในอินเดียก็มีการประท้วงโน่นนี่กันมากมายเหมือนกัน และคนอินเดียก็คงรู้ข่าวความไม่สงบต่างๆ จากเมืองไทยเหมือนกัน ก็มาถามดร.วิษนุว่าแล้วตอนนี้เมืองไทยสงบแล้วยัง เขาก็พูดต่อว่า ถ้าสงบแล้วก็จะได้มาเที่ยวประเทศไทย ความไม่สงบทั้งหลายที่เผยแพร่ไปต่างประเทศนั้นมีผลกระทบอย่างน้อยที่สุดก็ ด้านการท่องเที่ยว และธุรกิจการลงทุนต่างๆ เพราะไม่มีใครที่จะมาลงทุนในประเทศที่มีแต่ความวุ่นวายทั้งหลาย การได้เผยแพร่ข่าวสารที่แสดงให้เห็นถึงความสามัคคี ความสงบ ความสวยงามอุดมสมบูรณ์จึงน่าจะดึงดูดให้คนมาเที่ยวมาลงทุนมากว่า ซึ่งส่งผลดีกับประเทศโดยรวม

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

เศรษฐกิจดีเมืองนครดูจากอะไร

การจะบอกว่าเศรษฐกิจดีไม่ดี ประการแรกก็คือดูว่าถนนมีรถวิ่งกันคึกคัก ไปมาตลอดเวลา เออ.น่าจะจริงในประเด็นนี้เพราะรถติดบ่อยมากขึ้น และมีรถยนต์ป้ายแดงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


ประการที่สองก็คือ พืชผลราคาดี ไม่ต้องสงสัยราคายางพารา ปาล์ม ราคาสูงเป็นประวัติการ มะพร้าวเพื่อคั้นกะทิไม่ต้องพูดถึงราคาลูกละ 20 บาท สาเหตุที่แพงก็เพราะมีความต้องการมาก แต่ผลิตได้น้อยจะอย่างไรก็ตามใครเป็นชาวสวนก็ลืมตาอ้าปากได้ถ้ามีผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้แล้ว ทั้งเจ้าของสวน ทั้งผู้รับจ้างต่างก็มีรายได้ดีขึ้นแน่

ประการที่สาม ค่าจ้างแรงงานดี ค่าแรงสูงขึ้น สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือหาแรงงานยากขึ้น หามาทำงานแทบไม่ได้เร่ิ่มพึ่งพาแรงงานต่างชาติกันบ้างแล้ว และที่พบก็คือแรงงานบางประเภทหาไม่ได้เช่นแรงงานออกเรือประมง เป็นต้น

ประการที่สี่ขอทานหายากขึ้น อาจเป็นเพราะมีงานทำมากขึ้น มีคนใจบุญมากขึ้น หรือไปหางานทำได้ง่ายขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องขอทาน

ประการที่ห้า ที่อาจพบได้คือร้านอาหารคึกคักขึ้น เพราะมีการเลี้ยงกินอาหารนอกบ้ามากขึ่น สถานบันเทิงบางรูปแบบคนไปใช้บริการมากขึ้น เช่นคาราโอเกะที่อาจจะราคาแพงขึ้นกว่าเดิม



ประการที่ 6 มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวมากขึ้น จากการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมมีชาวต่างชาติมาเที่ยวมากขึ้น ดูจากเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด



ประการที่ 7 โจรผู้ร้าย การปล้นจี้ ลักเล็กขโมยน้อยมีน้อยลง ในข้อนี้ต้องรอข้อมูลจากจังหวัดอีกที แต่ตามสภาพการณ์แล้วก็ไม่ค่อยเป็นข่าวมากนัก เมืองนครอาจจะเป็นเมืองพระมากขึ้น คำที่บอกว่าเมืองนครคนดุก็ดูจะเลือนหายไปบ้าง หากเมื่อไรนครไม่มีคดีอาชญากรรม ทำให้เป็นเมืองปลอดภัย ก็จะจัดได้ว่าเป็นเมืองที่น่าเที่ยวที่สุด



การพิจารณาว่าเศรษฐกิจดีขึ้นหรือไม่ ไม่เฉพาะทีเมืองนคร ที่เมืองอื่นก็มีสภาพที่คล้ายๆ กัน คือจะต้องมีรายได้มากขึ้นและมีการจับจ่ายใช้สอย มีการหมุนเวียนของเงิน คนมีงานทำ น่าจะอยู่ในช่วงที่เป็นโอกาสดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาของเมืองนคร และน่าจะเป็นโอกาสที่จะเร่งสร้างสิ่งดึงดูดใจแก่นักท่องเที่ยวได้

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

จักรยานที่ไม่ธรรมดา

เมื่อใกล้ถึงวันแข่งขันจักรยานเสือภูเขา จะเห็นนักกีฬาจักรยานเสือภูเขามาซ้อมในมหาวิทยาลัยอยู่้บ่อยๆ ได้มีโอกาสพูดคุยกับนักกีฬา ก็เลยทำให้ทราบจักรยานที่พวกเขาใช้ในการแข่งขันนั้นไม่ธรรมดาหลายอย่าง


ตัวถังรถจักรยานโดยทั่วไปจะทำด้วยเหล็กที่มีน้ำหนักมาก สำหรับโครงหรือตัวถังของจักรยานที่ใช้ในการแข่งขันจะทำด้วยวัสดุอื่นที่มีน้ำหนักเบากว่า ที่ใช้กันมากคือเป็นสารคาร์บอนไฟเบอร์ ถ้าหากลองไปยกจักรยานแข็งขันเหล่านี้ดูจะรู้สึกเบายกได้ไม่ยาก ซึ่งใช้วิธีหล่อเป็นชิ้นเดียวมีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กเสียอีก

ระบบเกียร์ก็ไม่ธรรมดาที่การขี่จักรยานทำให้รู้สึกสบายกว่าเดิม ขี่ขึ้นเนินลงเนินสามารถปรับเกียร์อัตโนมัติให้เหมือนกับขี่ในทางราบ ระบบเบรคก็ไม่เหมือนระบบเบรคทั่วๆไป เป็นดิสค์เบรคเช่นเดียวกับที่ใช้ในรถยนต์การส่งแรงไปเบรคใช้ไฮดรอหลิกขนาดเล็ก เบรคได้ชงัด ระบบกันสะเทือนใช้โช๊คอัพที่สามารถปรับความอ่อนแข็งได้ตามสภาพพื้นที่ได้ ทำให้การขับขี่จักรยานลดแรกกระแทกที่รุนแรงได้

ระบบล้อและยาง ล้อมีระบบถอดออกและล็อกในการถอดเปลี่ยนและด้วยวัตถุประสงค์ในการเคลื่อนย้ายได้ง่าย มียางทั้งแบบมียางใน และแบบไม่มียางในแบบยางเรเดียนในรถยนต์ก็มีข้อดีเช่นเดียวกัน ที่วางเท้าสำหรับการรถจักรยานแข่งขันนั้นไม่ได้มีที่วางเท้าถีบที่จะใช้เท้าวางถีบได้แต่ต้องใช้ร่วมกับรองเท้าที่ออกแบบเป็นพิเศษมีระบบล็อกไม่หลุดง่ายและการถอดก็มีเทคนิคเอี๋ยวเอียงเมื่อให้หลุดออก

เฟอร์นิเจอร์อื่นๆ สำหรับรถจักรยานยังมีอีกมากมายเช่น เครื่องวัดรอบ วัดความเร็ว วัดระดับความสูง ฯลฯ ซึ่งแสดงผลแบบดิจิทัลมีตัวเลขให้เห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามที่ไม่ธรรมดามากๆ ก็คือด้านราคามีคนให้ข้อสังเกตว่ารถจักรยานคันที่ชนะการแข่งขัน 10 คันแรกน่าจะมีจักรยานราคาเป็นแสนถึงสองแสนบาทก็มี คันละ 5-6 หมื่นถือว่าธรรมดาทั่วไปสำหรับรถใช้แข่งขัน เทียบกับรถจักรยานที่ขายตามห้างคันละไม่ถึงพันบาท

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เมื่อยางพาราเป็นยางเงินยางทอง

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผลผลิตยางส่งออกมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ ขณะที่ราคายางพาราสูงเป็นประวัติการอย่างไม่เคยมีมาก่อน เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่ส่งผลให้ประเทศไทยเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้น สาเหตุที่ทำให้มีความต้องการยางมากขึ้นเพราะการเติมโตทางเศรษฐกิจในจีนที่สูงต่อเนื่องแม้น้ำมันจะราคาลดลงก็ตาม และหากราคาน้ำมันแพงขึ้นก็จะยิ่งใช้ยางพารามากขึ้นอีก


จากปรากฏการณ์ยางราคาแพง ทำให้ยางมีราคาเป็นเงินเป็นทอง การได้กรีดยางเมื่อไรก็เป็นเงินเท่านั้นทั้งเจ้าของและผู้ที่รับจ้างตัด ตอนราคายางไม่แพงมากนักเจ้าของสวนเคยแบ่งกับคนรับจ้างตัดยางแบ่งครึ่งกัน หรือไม่ก็ 60:40 และช่วงหลังเมื่อราคาดีขึ้นเจ้าของสวนหลายที่ก็เริ่มขยับเป็น 70:30 ก็ยังคงมีคนรับจ้างตัดถ้าคิดให้ดีแล้วการรับจ้างตัดยางมีรายได้ไม่เลวเลย ไม่ต้องลงทุนไม่ต้องซื้อปุ๋ยไม่ต้องมีที่ดินแต่มีรายได้ดีมากในระยะนี้ ถ้าคิดถึงต้นทุนด้วยแล้วคนรับจ้างตัดยางเป็นไปได้ว่าเป็นอาชีพที่มีรายได้ดีกว่าเจ้าของสวนเสียอีก

จากที่ยางราคาดีนี่เองจึงเกิดเทคโนเพื่อให้ได้ผลผลิตเป็นน้ำยางที่มากขึ้นกว่าเดิม เช่นมีคนเล่าว่าเหมือนกับใช้ฮอร์โมนไปเร่งให้ได้น้ำยางมากขึ้น ซึ่งก็มีบริษัทรับจ้างทำโดยเสียค่าใช้จ่ายต้นละไม่เกิน60บาทแต่ได้ผลผลิตมากกว่าเดิม 2-3 เท่าก็นับว่าคุ้มค่าในการลงทุน หลายคนสงสัยว่าต้นยางจะโทรมเร็วทำให้ตายหรือหมดอายุเร็วเรื่องนี้ได้รับคำอธิบายว่าไม่ควรทำกับต้นยางที่อายุไม่มาก แต่ทำกับต้นยางที่อายุเกิน10ปีขึ้นไปหรือต้นที่เกือบหมดอายุแล้วก็ยังทำให้ได้ผลผลิตน้ำยางมากขึ้น ดีกว่าขุดขายเนื้อไม้อย่างเดียว

ขณะนี้เจอปัญหาว่าฝนตกไม่หยุด ทำให้ชาวสวนยางตัดยางไม่ได้ก็ส่งผลให้ขาดรายได้มหาศาล ยังไม่มีใครสามารถคิดเทคโนโลยีที่สามารถให้ตัดยางในหน้าฝนหรือขณะที่ฝนตกได้ น่าจะมีฮอร์โมนที่ทำให้ตัดยางได้ จากสาเหตุที่เมื่อฝนตกแล้วเกิดความชื้นเมื่อกรีดยางน้ำยางที่กรีดจะถูกชะล้างไปทำให้หน้ายางตายไม่สามารถกรีดแล้วให้น้ำยางได้อีก ต้องไปกรีดหน้ายางไหม่ หากใครทดลองวิจัยแล้วทำให้กรีดยางได้แม้ฝนตกละก็จะก่อให้เกิดผลประโยชน์มหาศาล มีคนเสนอว่าน่าจะนำปลาสติกคลุมแล้วใช้เครื่องทำไอร้อนเป่าไม่ให้มีความชื้ออาจจะช่วยให้กรีดยางได้อีก แต่จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีใครทำได้ที่กรีดยางขณะฝนตกแล้วไม่ทำให้หน้ายางที่กรีดเสียไป ถ้าแกัปัญหานี้ได้ให้ตัดยางได้จำนวนวันที่เพิ่มขึ้นเมื่อไรเมื่อนั้นยางพาราก็จะเป็นยางเงินยางทองอย่างแท้จริง

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ความสอดคล้องในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

 ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกทีตกต่ำ ที่ทำให้การจับจ่ายใช้สอยลดลง คนไม่ค่อยมีกำลังซื้อ อัตราการว่างงานสูง เพื่อพิจารณาประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา ปัญหาเศรษบกิจที่ตกต่ำทำให้คนว่างงานจำนวนมาก ทั้งไทยและอเมริกาต่างก็เลือกที่จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล มากขนาดไหนมีคนกล่าวว่ามากขนาดที่มากกว่ารัฐบาลบุชสามปีรวมกันทีเดียว ขณะที่รัฐบาลโอบาร์มาร์คเราก็ ระดมทุนกู้เงินจากภายในประเทศมหาศาลเช่นเดียวกันจำนวนมากเช่นกัน เพื่อนำเม็ดเงินมาใช้ และเกิดการสร้างงาน ไม่ให้ธุรกิจล้ม และดูเหมือนว่ารัฐบาลโอมามาร์คจะได้ผลในแง่ที่คนว่างงานน้อยกว่า

กลโกงที่ไม่ธรรมดา

กลโกงที่เหนือชั้น ที่กว่าจะจับได้ไล่ทันบริษัทประกันรถยนต์ก็เสียรู้ไปแล้ว เรื่องมีอยู่ว่ามีกลุ่มบุคคล ที่ได้วางแผนในการโกงด้วยการไปซื้อรถยนต์ใหม่เอี่ยมถอดด้ามและประกันรถยนต์แบบชั้นหนึ่ง แล้วนำรถนั้นไปขายในเขตแดนประเทศเพื่อนบ้านแถวชายแดน แล้วมาเคลมกับบริษัทประกันรถยนต์ โดยแจ้งว่ารถหายที่บริษัทประกันต้องชดใช้ให้ตามกรมธรรม์ กลโกงนี้ได้เงินจากบริษัทเกือบเท่าราคารถเต็มๆ และยังได้เงินจากการนำไปขาย กระบวนการโกงนี้แต่ละคนคงทำได้ครั้งเดียว ในแต่ละครั้งต้องใช้ชื่อบุคคลที่แตกต่างกัน เข้าใจว่าบริษัทประกันก็คงจะแก้ปัญหานี้ได้แล้วในขณะนี้

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทุนมนุษย์กับทุนทางสังคม

ทุนมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของทุนทางสังคม ซึ่งยังมีทุนสถาบัน และทุนทางภูมิปัญญาและวัฒนธรรม รวมอยู่ด้วย สำหรับทุนมนุษย์ (Human Capital) ความหมายของคำนี้อย่าได้เข้าใจผิดว่าเป็นทุนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ที่ได้มาจากกฏแห่งกรรม แต่คำนี้เกิดขึ้นในยุคเศรษฐกิจเสรีทุนนิยม ที่หมายถึงกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะมีผลต่อระดับรายได้ที่เป็นเงินหรือผลทางจิตวิทยาในอนาคต โดยผ่านการเพิ่มพูนในตัวบุคคลที่มีความรู้ความสามารถที่นำมาใช้ได้จริง โดยทั่วไปสามารถจะเพิ่มปริมาณทุนมนุษย์ได้โดยการ ให้การศึกษา การฝึกอบรม การปรับปรุงสุขภาพอนามัย การจัดสรรเวลา และเมื่อมีทุนมนุษย์ดังกล่าวแล้วนั้น ก็จะต้องมีการใช้ทุนมนุษย์ไม่ทางใดทางหนึ่ง เช่นเป็นไปในทางการแสวงหาแรงงานของแรงงาน และการโยกย้ายถิ่นของแรงงาน ซึ่งจะมีการตีค่าทุนมนุษย์ที่มีอยู่

สิ่งที่ทำให้ทุนมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของทุนทางสังคมก็เพราะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่จะต้องมีความสัมพันธ์อันดีอยู่ในสังคมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างบุคค และกับสิ่งแวดล้อม ทั้งในรูปปัจเจกและการรวมตัวเป็นกลุ่ม ทั้งสภาพที่เป็นเครือข่าย รวมทั้งค่านิยม สิ่งที่สังคมยึดถือ ที่มีผลต่อวิถีชีวิต การงานอาชีพ และการผลิต ซึ่งสอดคล้องกับที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ได้กำหนดให้ทุนทางสังคมเป็นผลรวมของสิ่งดีงามต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคมในส่วนที่ได้จากการสั่งสมและการต่อยอด รวมถึงการรวมตัวของคนที่มีคุณภาพเพื่อสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวมบนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจ สายใยแห่งความผูกพันและวัฒนธรรมอันดีงาม



เอกสารอ้างอิง คำบรรยายของ อดิศักดิ์ จิระวุฒิพงศ์

หุ้นตก กลโกง

ตลาดหุ้นเป็นกลไกในการระดมทุน เพื่อนำไปลงทุนในกิจการต่างๆ รวมทั้งการขยายกิจการ ถ้ากิจการใดได้รับความเชื่อถือ หรือดำเนินกิจการมีกำไร มีเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นก็ทำให้มูลค่าหุ้นสูงกว่ามูลค่าหุ้นขั้นต้นมาก ถือเป็นหุ้นที่น่าลงทุน แต่ถ้าเมื่อไรผู้บริหารของบริษัทมีการทุจริต หรือดำเนินการผิดพลาด ก็ทำให้ผลการประกอบกิจการตกต่ำก็ทำให้หุ้นราคาตกลงได้ ซึ่งการที่ราคาหุ้นตกหรือเพิ่มขึ้นนั้นอาจเกิดจากการทุจริต กลโกงก็เป็นไปได้ เช่นการปั่นหุ้น การเบียดบังทรัพสินของบริษัทไปเป็นต้น


สำหรับกลโกงที่จะดูดเงินของผู้ลงทุนรายย่อยไปสู่นักลงทุนรายใหญ่ ตั้งแต่การตกแต่งบัญชี ตกแต่งตัวเลขให้ดูดีโดยเจตนา ดูดเอาเงินบริษัทไปแบบสังเกตไม่เห็น ทำให้ดูไม่น่าเกลียด โดยทั่วไปผู้ลงทุนรายใหญ่มักเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเป็นซีอีโอ กลวิธีที่จะเอาเงินที่ลงทุนไปคืนรวมกำไรไว้ด้วย เป็นการกู้เงินแบบไม่ยอมใช้หนี้ ดังเช่น

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือบริษัท ก. ไปแอบเปิดบริษัท ข. และคณะกรรมการของบริษัท ก.ก็เป็นพวกเดียวกันที่มีเสียงข้างมากเป็นธรรมดา อาจมีมติให้ไปลงทุนในบริษัท ข.ที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพไม่เป็นที่เปิดเผยตัวนัก ที่จริงแล้วบริษัท ข.ก็ไม่น่าลงทุนเลยแต่ก็เอาไปลงทุน แท้ที่จรืงบริษัท ข.ก็เป็นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เท่ากับได้เงินลงทุนตั้งแต่แรกกลับคืนมา

นอกเหนือจากเงินปันผลแล้ว สมมุตินาย D เป็นผู้ก่อการบริษัท มีการเสนอเงินเดือนให้นาย D สูงลิ่ว บวกรถประจำตำแหน่ง ค่ารับรอง ค่าที่พักหรือคอนโด ค่าประกันชีวิต ค่านันทนาการ ค่าประกันสุขภาพ ค่าสมาชิกคลับกีฬาก๊อฟ…เรียกกันว่า Perks รวมทั้งสิทธิพิเศษในการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด นาย D และพวกมักก่อตั้งบริษัทส่วนตัวจำนวนมากทำธุรกิจวนเวียนอยู่กับบริษัทก. และเรียกเก็บบริการไม่ว่าจะทำงานให้บริษัท ก.ไม่ว่าจะทำงานให้จริงหรือไม่ในราคาแพงสุดๆ บริษัท ก.อาจมีบริษัทลูกมากมาย นาย D และพวกบริหารหลายบริษัทก็ได้เบี้ยประชุมมากมาย

ที่ขี้โกงหนักๆ เช่นบริษัท ก.เช่าอาคารที่เป็นสมบัติส่วนตัวของนาย D สัญญาเช่า40 ปี และจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 40 ปีแก่นาย D ด้วย และถ้าบริษัทส่วนตัวของนาย D และพวกชื้อสินค้ากับบริษัท ก. ก็จะเป็นราคาที่ต่ำมาก แต่ถ้าขายทรัพสินให้บริษัท ก.ก็จะเป็นราคาที่สูงมากๆ

ที่กล่าวมานั้นอาจเป็นสาเหตุให้บริษัทล้มลงขาดสภาพคล่อง ถ้าเมื่อใดที่เศรษฐกิจตกต่ำเป็นต้มยำกุ้ง หุ้นตกจนไม่มีราคาได้ และการดูแลงบการเงินเข้าสู่การล้มละลาย หรือมีการปรับโครงสร้างหนี้หลังวิกฤตเศรษฐกิจ แล้วจะเห็นได้ชัดว่าผู้บริหารเหล่านั้นเกิดมามีบุญวาสนา ที่ล้มบนฝูก ที่สุดท้ายคนทั่วประเทศจะเป็นผู้รับภาระหนี้ของคนเหล่านี้ด้วยภาษีอากร ซึ่งถ้าตรวจสอบอย่างละเอียดแกะรอยเส้นทางเดินของเงินสด การลงบัญชี ข้อมูลรอบข้าง ก็จะเจอ แต่เสียเวลามากไม่ค่อยมีใครอยากทำ

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

GDP บอกอะไรเราบ้าง

จีดีพี (GDP)หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product) ได้แก่การผลิตสินค้าและบริการที่ชื้อขายในตลาดในเวลา 1 ปี ในทางเศรษฐศาสตร์ได้นำค่าตัวเลขของจีดีพีมาวัดการเติมโตทางเศรษฐกิจ เช่นว่าปีนี้จีดีพีเพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ก็แสดงให้เห็นว่าเรามีรายได้มวลรวมทั้งประเทศเพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ เช่นเมื่อปี 2547 เรามีจีดีพี 5.8 ล้านๆ บาท ประชากรจำนวน 63 ล้านคน เมื่อหารด้วย 63 ล้านจะได้รายได้ต่อปี และหารด้วย 12 จะได้รายได้แต่ละคนต่อเดือน ก็ตกอยู่ประมาณ 7200 บาทต่อเดือน ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขโดยเฉพาะเฉลี่ยทั้งประเทศ ที่นำคนที่มีรายได้ต่อปี 10000 ล้าน 100 ล้านมาเฉลี่ยด้วย จึงเป็นเรื่องปกติธรรมด้าที่เรายังพบว่ามีคนจนที่มีรายได้ไม่ถึง 7200 บาทอยู่จำนวนมาก ที่ทราบกันมากกว่า 10 ล้านคน

ดังนั้นค่าจีดีพีไม่ได้สะท้อนการมีรายได้ของประชากรอย่างแท้จริง เพราะขณะที่จีดีพีเพิ่มขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าประชาชนส่วนใหญ่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น ในระบบทุนนิยม นักธุรกิจอาจจะมีรายได้เพิ่มมากกว่า 50 เปอร์เซ็น ประชาชนบางกลุ่มอาจมีรายได้เพิ่มไม่ถึง 5 เปอร์เซ้นต์ และอาจจะมีบางกลุ่มรายได้ลดลง ดังที่พูดกันว่ายิ่งพัฒนาในระบบทุนนิยมยิ่งทำให้ยากจนลง เพราะกระตุ้นให้คนบริโภคใช้จ่ายมากขึ้น จะได้ผลิตสินค้าได้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ผลาญทรัพยากรธรรมชาติอย่างรุนแรง บางทีก็ไม่คุ้มกับที่เสียไป

เมื่อนำค่าจีดีพีของประเทศไทยเปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์เมื่อสามสี่ปีที่แล้ว ประเทศได้มีจีดีพี 5.5 ล้านล้านบาทขณะที่ประเทศสิงคโปร์มีจีดีพี 4.5 ล้านล้านบาท โดยที่ประชากรประเทศไทย 60 กว่าล้านขายสินค้าและบริการได้ 5.5 ล้านบาท ขณะที่คนสิงคโปร์ 3 ล้านกว่าคนขายสินค้าและบริการได้ 4.5 ล้านบาท ดังนั้นโดยเฉลี่ยคนสิงคโปร์มีรายได้สูงกว่าประเทศไทยมากไม่น้อยกว่า 20 เท่า อาจกล่าวเล่นๆ ว่าคนสิงคโปร์ทำงานหนักว่าคนไทยถึง 20 เท่า แต่ที่ว่าทำงานหนักนั้นไม่ได้หมายความว่าใช้แรงงานในการทำงาน แต่ใช้สมองความรู้ความสามารถในการทำงาน เช่นจ้างแรงงานต่างชาติมาทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ใช้เครื่องจักรมาช่วยในการผลิตมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้แรงงานมากมายแต่ก็ต้องคิดทำงานแก้ปัญหาแน่นอน ความเครียดน่าจะมากกว่า

อย่างไรก็ตามการคิดค่าจีดีพีในทางเศรษฐศาสตร์ จากเงินลงทุน บวก ค่าใช้จ่ายบริโภคมวลรวม บวก ค่าใช้จ่ายภาครัฐ บวกกับผลต่างระหว่างค่าสินค้าส่งออกและนำเข้า จากสูตรการคิดดังกล่าวนี้ทำให้ทราบว่าทำไมการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเหมือนเป็นสูตรสำเร็จว่าจะต้องกระตุ้นการส่งออก ส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งเสริมการลงทุน และแอบส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศให้จับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

ในภาวะที่หุ้นตก การลงทุนก็ลดลง และถ้ารัฐใช้แนวนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง การบริโภคก็ลดลง การใช้จ่ายภาครัฐก็ลดลง ตัวที่จะทำให้จีดีพีดีขึ้นก็เห็นแต่ภาคการส่งออก ซึ่งก็มีส่วนให้มีการบริโภคภายในประเทศด้วย และที่เราประหยัดกันให้มากในด้านสั่งสินค้าฟุ่มเฟือย ลดการใช้น้ำมันลงก็ช่วยจีดีพีให้เพิ่มขึ้นเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจีดีพีจะเพิ่มมากขึ้นเท่าใดก็ตามไม่ได้เป็นตัวชีวัดว่าคน ประชากรของประเทศมีความสุข ถ้าการกระจายรายได้ยังไม่เป็นธรรม และปัญหาอาชญกรรมและอุบัติเหตุทางบกยังสูงติดอันดับโลก ปัญหามลภาวะยังคงมีอยู่ ปัจจุบันจึงมีตัวชีวัดด้านความสุขเพิ่มเข้ามาผู้เขียนจะเล่าให้ฟังอีกครังหนึ่ง

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ควันหลงจากการเลือกตั้งสว.

ผลจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เปลียนระบบการเลือกสว.หรือสมาชิกสภาใหม่หลายอย่าง และแม้จะผ่านการลงประชามติแล้วก็ตาม ซึ่งก็น่าจะมีคนเห็นด้วยมากกว่าที่ไม่เห็นด้วย แต่คนไม่เห็นด้วยก็มีอยู่ค่อนครึ่งเหมือนกันก็มีปฏิกิริยาออกมาให้เห็นในรูปต่างๆ


รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดให้มีทั้งสว.ที่เลือกตั้งและแต่งตั้ง ที่มีปัญหาก็เพราะในรัฐธรรมนูญเมื่อก่อนนั้นจำนวนสว.ตามจำนวนพลเมืองจังหวัดใหญ่ที่มีพลเมืองมากก็จะมีจำนวนสว.มากกว่า แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้มีจังหวัดละ 1 คน คล้ายๆ กับระบบรัฐสภาอเมริกันที่มีสมาชิกวุฒิสภารัฐละ 1 คนเช่นกัน และระบบเขาเป็นเช่นนั้นมาน่าจะเกือบร้อยปีแล้ว แต่พอเมืองไทยมาทำบ้างก็มีอาการไม่เห็นด้วยหลายอย่าง

คนที่ไม่ยอมรับก็บอกว่าผิดธรรมชาติกรุงเทพจังหวัดตั้งใหญ่เลือกได้คนเดี่ยว เช่นเดียวกับจังหวัดใหญ่ทั้งหลายอาจมีผู้ออกอาการเช่นนี้ เหมือนที่นายกคนปัจจุบันก็เคยพูดไว้ว่ารัฐธรรมนวยอะไรทำนองนั้นผู้เขียนก็จำไม่ได้ บางคนก็ว่าเฮงซวย และด้วยกติกาปลีกย่อยเช่นไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองอย่างน้อย 5 ปี ก็ยิ่งทำให้คนที่รู้จักคุ้นหน้ามาสมัครไม่ได้ก็เกิดอาการบ่นอีกว่า ไม่ค่อยจะรู้จักผู้สมัคร เพราะมีผู้สมัครใหม่โนเนมมากมาย หลายคนบ่นว่าไม่รู้จะเลือกใครไม่รู้จัก ก็เลยมีคนไปถามกกต.ท่านหนึ่งท่านก็มีข้อเสนอแนะให้ไปค้นรายชื่อผู้สมัครสว.ที่ว่าไม่รู้จักทางอินเตอร์เนตใช้กูเกิล หรือยาฮู (เครื่องมือการค้นgoogle or yahoo) แล้วเข้าไปดูก็จะรู้ตั้งแต่ประวัติทำอะไรไว้ที่ไหนมากน้อย เคยไปทำคุณประโยชน์ไว้ที่ไหนบ้าง ก็จะได้ตัดสินใจได้ไม่ยากว่าจะเลือกใคร

ผู้เขียนเห็นด้วยที่เราจะศึกษาผู้สมัครเสียก่อนได้ ก็จะได้รู้ว่าเป็นคนอุ่ทิศตัวเพื่อส่วนรวมหรือเปล่า หลอกกันได้ยากขึ้นจะมาย้อมแม้วกันในเร็ววันนะยาก แต่ก็นั่นแหละมีหลายคนยังไม่เข้าถึงอินเตอร์เนตมีมากกว่าที่มีเสียอีก ก็ต้องสนับสนุนกันอย่างไรให้คนใช้อินเตอร์เนตกันเยอะๆ ดังเช่นประเทศเกาหลียายอายุ80กว่าก็ยังใช้อินเตอร์เนตติดต่อกับลูกหลานที่อยู่ต่างประเทศได้ ยิ่งคนใช้อินเตอร์เนตกันมากเท่าใดเราน่าจะได้ สส สว. ที่คุณภาพดีขึ้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าการเลือกสว.เที่ยวนี้กลุ่มที่เล่นอินเตอร์เนตที่เป็นหนุ่มสาวเทคะแนนให้คนที่มีผลงานส่วมมากกว่า ดูผลการเลือกสว.บ้านเราก็แล้วกัน

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Inconvenient thruth ของใคร

ตามชื่อวันนี้ไม่ใช่การรณรงค์เพื่อลดภาวะโลกร้อยของอัลกอ แต่เป็นรายงานการพิจารณาศึกษาการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย ในนามคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สภานิติบัญญัติชุดที่แล้ว ได้วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา การดำเนินการพัฒนาวิทยาศาตร์ของประเทศไทยว่ายังคงวนเวียนอยู่ในกรอบวิธีการเก่าๆ ที่เรียกหาแต่งบประมาณ กำลังคนบุคลากร และทรัพยากรต่างๆ โดยสรุปสาเหตุสำคัญที่ไม่ประสบผลสำเร็จ ในการแก้ปัญหาความตกต่ำของการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเพราะไม่รู้จริงในสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง ทำให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นผิดพลาด


การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีแนวคิด และเครื่องมือการบริหารจัดการใหม่ๆ ตามกระแสโลก แต่ในทางปฏิบัติการบริหารที่เป็นจริง การบริหารงานและการติดตามประเมินผลในภาครัฐ ยังวนเวียนอยู่กับการดำเนินงานแบบเก่าๆ ที่อาศัยระบบพวกพ้อง และการแสวงหาผลประโยชน์ในกลุ่มและหมู่คณะ ที่แฝงมาในรูปแบบการบริหารงานสมัยใหม่ จึงไม่มีการดำเนินการให้เกิดความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ได้ผลงานที่เป็นรูปธรรม และยังขาดคุณธรรมและจริยธรรม ที่แท้จริง

ตัวอย่างหนึ่งอันแสดงให้เห็นถึงความตกต่ำในการใช้งบประมาณ คือความสามารถในการผลิตผลงานที่มีผลเป็นสิทธิบัตร และอนุสิทธิบัตร ต่องบประมาณการลงทุน เทียบกับผลงานภาคเอกชน และต่างขาติ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐรวมทั้งมหาวิทยาลัยทั้งหลายนั้น ในปี 2549 หน่วยงานภาครัฐมีอนุสิทธิบัตร 429 เรื่อง สิทธิบัตร 332 เรื่อง ขณะที่เอกชนและประชาชนผลิตอนุสิทธิบัตร 1515 เรื่อง สิทธิบัติ 3231 เรื่อง จะเห็นว่าภาคประชาชนและเอกชนจดสิทธิบัตรมากกว่าภาครัฐเกือบ 7 เท่าตัว สำหรับต่างชาติที่มาจดทะเบียนเป็นผลงานที่เป็นสิทธิบัตรเป็นส่วนใหญ่ มีจำนวนมากกว่าทั้งภาครัฐและเอกชนและประชาชน

ถ้าดูประสิทธิภาพในการวิจัยโดยดูจากงบประมาณที่ใช้นั้น ในปี 2549 หน่วยงานภาครัฐใช้งบประมาณ 7898 ล้านบาทขณะที่เอกชนและประชาชนใช้งบประมาณเพียง 5927ล้านบาท จะเห็นว่าผลงานด้านนี้ของหน่วยงานส่วนภาครัฐนั้นมีคุณภาพและประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตรฐานทั่วไปมาก นั้นก็คือมหาวิทยาลัยก็เป็นส่วนหนึ่งในหน่วยงานภาพรัฐ ที่ทางสกอ.เองก็เร่งทุกวิธีทางเพื่อให้ในภาคส่วนมหาวิทยาลัยมีผลงานที่มีคุณภาพดังที่เราได้เห็นมาตรการหลายๆ อย่างในตัวชี้วัด ใด้ด้านการตีพิมพ์ การนำเสนอ และการจดลิขสิทธิ์ และแม้แต่การตั้งหน่วยบ่มเพราะต่างๆ

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ไม่มีอะไรฟรีกับเอ็นจีโอ

ปกติแล้วองค์กรที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ (non government organization: NGO) มีบทบาทสำคัญที่เข้ามาให้ความสนับสนุนส่งเสริมการต่อสู้เรียกร้องความไม่เป็นธรรมต่างๆ ที่คนยากคนจน หรือชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรม รวมทั้งการต่อต้านการทำลายทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลาย ให้ความช่วยเหลือในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และมีมากมายหลายกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินโดยตรงและโดยอ้อมให้มาดำเนินการตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว


ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่ามีองค์กรที่มีมูลนิธิต่างๆ ให้การสนับสนุน เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่นป่าไม้สัตว์ป่า แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเงินจำนวนมากมหาศาลมาจากผู้ใจบุญทั้งหลายในประเทศที่ร่ำรวย นั้นจริงแล้วมีวัตถุประสงค์ที่แท้จริงอย่างไร ทำไม่เขาซึ่งเป็นเอกชนไม่ใช่มาจากรัฐบาล หรืออาจจะร่วมมือกับรัฐบาลด้วยซ้ำ คงจะมีอะไรอยู่เบื้องหลัง

ซึ่งในระยะไม่กี่ปีมานี้ได้พูดกันถึงภาวะโลกร้อนกันมาก และกิจกรรมส่วนใหญ่ที่เอ็นจึโอให้การสนับสนุนนั้นก็เกี่ยวข้องอยู่กับภาวะโลกร้อน การอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติ การต่อสู้การเอารัดเอาเปรียบของนายทุนจากการตั้งโรงงานแล้วมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต หรือบางครั้งก่อให้เกิดการทำล้ายสิ่งแวดล้อม หรือก่อให้เกิดมลภาวะ เหตุผลที่มาโยงกับภาวะโลกร้อนก็คือประเทศตะวันตกที่อยู่ในเขตหนาวนั้น อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ หากเกิดภาวะโลกร้อนมากขึ้นโอกาสที่น้ำแข็งจากขั้วโลกจะละลาย และมีผลกระทบที่เสียหายต่อประเทศทางตะวันตกก่อนหรือตายก่อน นั่นเอง เพราะเขาย่อมรู้ว่าแม้ว่าประเทศเขาไม่ได้เป็นผู้มีส่วนทำให้เกิดภาวะโลกร้อน แต่ประเทศอื่นในส่วนอื่นๆของโลกเป็นผู้กระทำก็ส่งผลต่อชาติตะวันตกแน่นอน ดังนั้นการให้ความช่วยเหลือจากองค์กรเอ็นจีโอ จึงมีมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จึงสรุปได้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ยังเป็นไปตามกฏแห่งกรรม เป็นสัจธรรมของโลก

เทียบเคียงความขัดแยงทางการเมืองกับระบบชีวิต

เมื่อมองระบบสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในองค์กรหรือประเทศ ทำให้องค์กรหรือประเทศก็มีชีวิต Erich Jantsch เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องระบบและให้นิยามระบบชีวิตว่าเป็นโครงสร้างที่ค้นหาสภาพใหม่ของตนเองอย่างต่อเนื่องและไม่เคยหยุดพัก และการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันทีเมื่อสิ่งมีชีวิตตัดสินใจว่า การเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นเป็นหนทางเดียวที่จะดำรงอยู่ต่อไป ทำให้นึกถึงสถานะการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายพันธมิตร ต่างก็ต้องการที่จะดำรงอยู่ การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นไปแบบฉับพลันทันที


สิ่งที่ตามมาอาจเทียบเคียงได้กับโครงสร้างกระจัดกระจายโดยฟริโกจิน ที่อธิบายธรรมชาติที่ขัดแย้งกัน การสูญเสียในกระบวนการที่พลังงานค่อยๆ เสื่อมลงไปเรื่อยๆ แน่นอนว่ายิ่งขัดแย้งกันมากโดยไม่ยอมเลิกราแล้วต่างก็จะสูญเสียพลังและทรัพยากรไป ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการสร้างความเป็นระเบียบขึ้นใหม่ ซึ่งจะได้รูปแบบที่เหมาะสมมากขึ้นตามภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป นั่นก็คือเกิดความไร้ระเบียบที่จูนไม่ลงกันทั้งสองฝ่าย ความไม่เป็นระเบียบจะก่อให้เกิดความเป็นระเบียบใหม่ขึ้น หรือกล่าวได้ว่าความไม่สมดุลย์ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และโดยธรรมชาติไม่มีใครที่แสวงหาแต่เพียงความสมดุลย์เพราะจะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง

ถ้ามองว่าการเผชิญหน้ากันด้วยความขัดแย้ง ทำให้เกิดความไร้ระเบียบเพิ่มมากขึ้นๆ จนถึงจุดอิ่มตัวที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว สุดท้ายแล้วพลังแห่งความดีแห่งความถูกต้องจะต้องเป็นผู้ที่ชี้นำการเปลี่ยนแปลงได้ในที่สุด หรือไม่ก็เข้าสู่มิคสัญญีที่รอวันการสร้างระเบียบใหม่ต่อไป

เอกสารอ้างอิง ผู้นำกับวิทยาศาสตร์ใหม่ โดย มาร์กาเร็ต เจ. วีตเลย์

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิทยาศาสตร์การเมือง

ตอนนี้หลายคนอาจคิดว่าการเมืองร้อนแรงอยู่ในภาวะวิกฤติ ถึงขั้นเข้าสู่ทางตัน ที่ความคิดเห็นที่แตกต่างทำให้ขยายไปสู่ความแตกแยก ความสับสนอลม่าน ที่หลายคนคิดว่าอาจจะนำไปสู่การการล่มสลายของสังคม ในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้มองไปในลักษณะนั้น แต่มองเป็นกระบวนการธรรมชาติที่เมื่อระบบถูกรบกวนจนเกิดความไร้ระเบียบขึ้น ก็จะมีแนวทางที่จะทำให้เกิดความมีระเบียบมากขึ้น ซึ่งในธรรมชาตินั้นได้พบแล้วว่าในความไม่เป็นระเบียบนั้นมีความเป็นระเบียบอยู่ภายใน และในความมีระเบียบก็มีความไม่เป็นระเบียบอยู่ภายในเช่นเดียวกัน แม้ว่าสิ่งที่มารบกวนต่อระบบจะดูเหมือนว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่เมื่อสมาชิกในระบบพิจารณาว่าเป็นสิ่งสำคัญและนำเข้ามาในระบบแล้ว ก็จะมีการแพร่กระจายของข้อมูลสารสนเทศนั้นไปอย่างรวดเร็ว และจนกระทั่งมีผลการะทบต่อระบบอย่างรุนแรงแล้ว สมาชิกในระบบก็จะพิจารณาว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในระบบอย่างแท้จริง


มีการคิดว่ากระบวนการทางสังคมก็เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเราเคยได้ยินคำว่าวิทยาศาสตร์สังคม และคำว่าวิทยาศาสตร์การเมืองนั้นแปลตรงๆ มาจากคำว่า political science ซึ่งเราแปลมาใช้ว่า รัฐศาสตร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เช่นเดียวกับคำว่า management science ที่หมายถึงวิทยาการจัดการ คำว่า science นั้นคงหมายถึงศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความจริงเรื่องราวในศาสตร์นั้นๆ ไม่ได้หมายความว่าวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวแต่มีมิติทางศิลปวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และที่จะทำให้ศาสตร์เหล่านี้เป็นเรื่องที่มีเหตุผล มีตรรกะ มีที่ไปที่มาการศึกษาในแต่ละศาสตร์ มักจะอาศัยการศึกษาตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาเกึ่ยวข้องด้วยจึงจะได้รับความเชื่อถือยอมรับมากยิ่งขึ้น การศึกษาวิจัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยหาทางออกให้กับประเทศ ให้กับปัญหาที่นำไปสู่วิกฤตและทางตัน ถ้ามีผลการศึกษาที่สามารถตอบคำถามที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันในทางเดียวกัน ซึ่งจะได้ข้อสรุปอันเป็นข้อตัดสินให้กับสังคมได้ทางหนึ่ง สามารถช่วยผ่าทางตันได้อีกทางหนึ่ง นอกจากว่าเราไม่มีการศึกษาอะไรที่จะใช้ยึดเป็นหลัก ซึ่งการพูดคุยเสวนาเพียงอย่างเดียวคงไม่พอกับสถานะการณ์ปัจจุบัน ซึ่งจำเป็นต้องใช้หลายทางประกอบกัน

การเมืองเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์

เคยอ่านในหลายที่ต่างกรรมต่างวาระว่า การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ ในกระบวนการประชาธิปไตย โดยประชาชนใช้อำนาจในการเลือกผู้แทนซึ่งได้แก่นักการเมืองในพรรคการเมืองไปจัดตั้งรัฐบาล รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนประชาชนในการจัดสรรผลประโยชน์ให้ประชาชนส่วนใหญ่ให้ได้รับผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมให้มากที่สุด


โดยการใช้อำนาจทางการบริหารของรัฐบาล ในการกำหนดนโยบายที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในทางที่ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น มีรายได้สูงขึ้น ที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นหลักการ แต่ในทางปฏิบัตินั้น กลับปรากกฏว่า การใช้อำนาจของนักการเมืองที่มีเสียงข้างมากในสภา กลับนำไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน และมีผลประโยชน์ทับซ้อน นโยบายบางอย่างกลับให้ประโยชน์แก่เฉพาะกลุ่ม เป็นที่มาของคอร์รัปชั่นมากมาย และนักการเมืองเมื่อมาเป็นรัฐบาลก็หวังในผลประโยชน์ที่ได้รับด้วย หรือโอกาสที่จะหาผลประโยชน์เมื่อทราบข้อมูลข่าวสารก่อน เช่นรู้ว่าจะตัดถนนผ่านที่ใดก็ไประดมซื้อที่ดินในราคาถูก เมื่อถนนผ่านก็สามารถขายได้ในราคาแพงเป็นต้น หรือออกกฏหมายเอื้อให้กลุ่มของตัวเอง ครอบครัว พรรคพวก อย่างเห็นได้ชัด นี่เป็นเพียงตัวอย่างเพียงน้อยนิด และนักการเมืองส่วนใหญ่หลังจากเป็นผู้แทนแล้วก็จะมีฐานะทางการเงินดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่โดยตัวเองก็ในเเครือญาติ จึงทำให้คนในสังคมเข้าใจว่าส่วนใหญ่นักการเมืองเป็นคนไม่ดี ยังหวังเข้ามาเพื่อกอบโกย หรือถอนทุนจากการที่ต้องทุ่มเงินไปตอนเลือกตั้ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งหลายเป็นตำแหน่งที่ให้คุณให้โทษ จึงได้รับการเคารพเป็นอย่างสูงเป็นที่เกรงอกเกรงใจ จึงเป็นที่มีของเงินสินบน เงินเปอร์เซ็นต์ที่รัฐมนตรีมักจะมีข้อครหา เราจะเห็นว่าผลประโยชน์ในด้านเงินทองทรัพย์สิน อันเป็นที่มาของคอร์รับชั่นนั้น มีส่วนทำให้ประเทศไม่เจริญ และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชน ทำให้เป็นแบบอย่าง ถือว่าการไม่ซื่อสัตย์เป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งที่เป็นเรื่องที่สำคัญ จะเห็นว่าสังคมตะวันตกนั้นเน้นเรื่องความซื้อสัตย์มาก โดยเฉพาะการพูดโกหก ถ้าจำได้ว่าไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องนี้แล้ว ถ้าเป็นสามีภรรยาก็ตามมาด้วยการหย่าร้าง เป็นนักการเมืองก็จะถูกสังคมลงโทษ สื่อช่วยกันตำหนิจนต้องลาออกไป แต่สังคมใดที่ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยแล้วละก็จะเกิดปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด

คนรวยมากทำให้คนจนมากอย่างไร

เคยได้ยินได้อ่านผ่านสายตาจากที่มหาตปะคานธี เคยกล่าวไว้ว่า โลกมีอาหารและทรัพยากรเพียงพอแก่ทุกคน แต่ไม่เพียงพอสำหรับคนโลภเพียงคนเดียว และคนกลุ่มใช้จังหวะโอกาสกอบโกยและสร้างสินทรัพย์ แบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา ขณะที่ผู้ด้อยโอกาสจำนวนมาก ยิ่งจนลง


ลองคิดง่ายๆ ประการหนึ่ง เช่นในประเทศไทยมีเงินอยู่ในระบบทั้งประเทศอยู่ 1 ล้านบาท มีอยู่มีเศรษฐีอยู่ไม่กี่คนมีเงิน 2แสนบาท ที่เหลืออีก 8 บาทเฉลี่ยกับคนที่เหลือ ทั้งคนชั้นกลางและคนจน แน่นอนว่าคนที่จนอยู่แล้วก็จะยิ่งจนลงไปอีก ถามว่าเงินที่คนรวยได้มาเอามาจากไหน ก็ส่วนใหญ่ก็ได้มาจากประชาชนในประเทศที่ช่วยกันซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทของคนรวยและพวกพ้อง คนจน รากหญ้าที่ด้อยโอกาส เมื่อไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกวิธี ก็จะยิ่งจนลงไปอีก

นักธุรกิจนายทุนที่ร่ำรวยมหาศาลนั้น กว่าจะมาถึงจุดที่ร่ำรวยมากได้นั้น ก็ต้องต่อสู้ฟันฝ่ามาทุกทาง ไม่ว่าจะใช้เทคนิควิธีเบียดบัง หรืออาศัยอำนาจรัฐ และบางครั้งไม่ได้คิดว่าจะไปทำลายคู่แข่งอย่างไร ที่ทำให้บริษัทอื่นต้องล้มไป ดังนั้นเราจะพบว่าภายหลังเจ้าของบริษัทที่มีความสำนึกว่าสิ่งที่เขาได้เงินมาแท้จริงก็มีส่วนไปขูดรีดผู้อื่นมาเป็นทอดๆ และผู้บริโภคสุดท้ายคือคนจนต้องจ่ายแพงขึ้นบ้างอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากซึ่งเป็นการซ้ำเติม ดังนั้นเราจะเห็นว่ามหาเศรษฐีระดับโลก บริจาคเงินส่วนใหญ่ที่มีให้กับสาธารณะ ทั่วโลกแทน ดังเช่นที่ปรากฏมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งและสอง อย่างบิลเกตประกาศให้เงินที่มีทั้งหมดเพื่อการกุศ่ลเหลือไว้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์ และเช่นเดียวกันมหาเศรษฐีหุ้นเช่นบัปเฟต ก็บริจากทรัพย์สินส่วนใหญ่ให้มูลนิธิกองทุนเช่นกัน ซึ่งบุคคลทั้งสองรวยขึ้นมาได้โดยไม่เป็นนักการเมือง และไม่เคยบอกว่ารวยแล้วไม่โกง

ทำไมบางประเทศจึงประสบผลสำเร็จ

ถ้าเราตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีทั้งประเทศที่ประสบสำเร็จและประเทศที่ไม่ประสบผลสำเร็จ มีประเทศที่มั่งคั่งขึ้น และประเทศที่ยากจนลง ประเทศที่ประสบผลสำเร็จนั้นก็น่าจะมีตัวชีวัดที่ ความสงบสุขภายในประเทศและความมั่งคั่งของคนส่วนใหญ่ในประเทศ คือประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีรายได้สูง เมื่อเราพิจารณาถึงความประสบผลสำเร็จ่ ความล้มเหลวนั้นน่าจะมีสาเหตุจากอะไร


ประเทศญี่ปุ่นเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นที่ 1 ของโลก โดยมีนักเขียนจากชาติตะวันตกเขียนหนังสื่อชื่อ Japan is number one ซึ่งก็คงเป็นที่รู้กันว่า ด้วยความรักชาติ ความเป็นชาตินิยม ความซื่อสัตย์ ที่นำพาประเทศมาเป็นประเทศชั้นนำของโลกได้ ทั้งๆ ที่ประเทศญี่ปุ่นมีภัยพิบัติจากธรรมชาติมากกว่าประเทศอื่นและไม่ได้มั่งคั่งด้วยทรัพยากรธรรมชาติดังที่ปรากฏในหลายประเทศ แต่กลับพบว่าประเทศที่มั่งคั่งด้วยทรัพยาการธรรมชาติกลับยากจนลง เช่นประเทศไนจีเรีย อินโดนีเซีย มีน้ำมัน ป่าไม้ อัฟริกามีเพชร ทองคำ อาเยนตินามีดินอันอุดมสมบูรณ์ คองโกมีแร่ธาตุและอัญมณี เมกซิโกมีน้ำมัน เงิน โคลัมเบีย ซาอุ มีน้ำมัน

จึงเป็นไปได้ว่าคุณค่าความั่งคั่งและการพัฒนาอยู่ที่องค์ประกอบอื่นๆ ประกอบด้วยนอกจากในกรณีชาตินิยม ความซื่อสัตย์แล้วยังต้องมีความรู้และเทคโนโลยี ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ประเทศที่ประสบผลสำเร็จในการพัฒนามักจะเป็นประเทศที่มีทรัพยากรน้อย แต่พัฒนาตัวเองได้ดีเช่น ประเทศเกาหลี สิงคโปร์ ใต้หวัน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าความมั่งคั่งมาจากปัญหาความรู้ของคนในประเทศทั้งสิ้น และดรรชนีย์ชี้วัดตัวต่อมาที่มักพบเสมอในประเทศเหล่านี้ก็คือมีความซื่อสัตย์สูงและคอร์รัปชั่นน้อย และถ้าหากประเทศมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยก็น่าจะยิ่งมีความมั่งคั่งมากขึ้น

เมื่อพิจารณาในกรณีประเทศไทย เราเชื่อกันว่าประเทศเราเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งผลิตอาหารของโลกอันดับต้นๆ ของโลก แต่ด้วยเหตุกลใดไม่ทราบได้ประเทศของเราก็ยังหาความมั่งคั่งให้คนส่วนใหญ่หาได้ไม่ กลับพบว่าผู้ที่ผลิตอาหารคืออาชีพเกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ในภาวะยากจน จึงสรุปได้ด้วยตัวชี้วัดที่ให้ข้อสังเกตกับประเทศที่มั่งคั่งก็คือ คนไทยยังมีเลือดรักชาติชาตินิยมน้อยกว่า เรายังเป็นประเทศที่มีคอร์รัปชั่นสูงซึ่งเป็นปฏิภาคตรงกับความซื่อสัตย์สุจริต เรายังมีประชากรที่คิดถึงผลประโยชน์ของชาติน้อยกว่าประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ เรายังไม่ใส่ใจการศึกษาเพียงพอที่จะทำให้เป็นผู้มีความรู้ และปรับปรุงบพัฒนาและสร้างเทคโนโลยีของตนเองขึ้นมาพัฒนาประเทศได้ อันเป็นมันสมอง เป็นปัญญา หรือว่าเรายังโง่หลงมั่วเมาอยู่ มั่วแต่ทะเลาะกันเอง และรักชาติแต่ปากที่ไม่มีการปฏิบัติ

ทุนนิยมหลงทางและการสร้างสรรค์สังคมใหม่

ทุนนิยมมักจะเน้นไปที่การบริโภคนิยมและวัตถุนิยม ซึ่งเน้นไปที่การกินการใช้วัตถุต่างๆอย่างฟุ่มเฟือย โดยหวังว่าการกระทำดังกล่าวจะช่วยแก้ทุกข์ให้กับผู้บริโภค และกลับกลายเป็นว่าจะไปแก้ทุกข์ให้กับทุนนิยมเสียมากกว่า สำหรับผู้บริโภคแล้วไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องแต่กลับสร้างปัญหามากขึ้น เกิดการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคจากนายทุน ดังจะเห็นได้จากความแตกต่างของรายได้ คนยิ่งจนลง ผู้นำประเทศที่ดีจะต้องสร้างสังคมที่มีการเอารัดเอาเปรียบกันน้อยที่สุด สินค้าและอุปโภคบริโภคหลักๆ ที่จำเป็นต้องกินต้องใช้จะต้องอยู่ในระดับราคาที่คนจนอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน


เมื่อไรก็ตามที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่นแล้ว เป็นทุนนิยมหลงทางโดยแท้ และไม่มีใครที่จะมาขจัดให้หมดไปหรือลดระดับลงในทางที่ยอมรับได้ ดังในปัจจุบันประเทศไทยหนีไม่พ้นที่จะตกอยู่ในมือของทุนสามานของคนพาลที่อยู่ในความโลภ หลง และโกรธง่าย ปัญญาชนต่างก็ถูกบดบังในการสะท้อนปัญหา ชี้แนะนำทางให้สังคม แต่ถึงจะส่งเสียงอย่างไรก็ไม่ค่อยมีใครฟังจากคนส่วนใหญ่ เพราะอำนาจของความโลภ โกรธ และหลง สุ่มเสี่ยงต่อความแตกแยก และการใช้ความรุนแรงดังที่เราเห็นได้ในเชิงประจักษ์ที่ผ่านมา และอาจก่อให้เกิดความเลวร้ายถึงขั้นเกิดสงครามกลางเมืองก็เป็นไปได้

ก็ได้แต่หวังว่าพลังทางศิลธรรมที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง จะมีส่วนทำให้ผู้มีอำนาจได้ฟังเสียงประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ให้ผู้ไม่โลภ ไม่โกรธ และไม่หลงได้เป็นผู้ใช้อำนาจ ก่อนที่ผู้เขลาเบาปัญญาที่มีความโลภและหลงทำให้ชาติหรือบ้านเมืองของเราฉิบหายไปต่อหน้าต่อตา การแก้ปัญหาที่ถูกต้องต้องแก้ที่ใจคนให้เข้าใจชีวิตที่ถูกต้อง เด็กๆของเราจะต้องมีฐานที่ดีจากระบบการศึกษาที่ถูกต้อง และเป็นที่แน่นอนว่าแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นพลังทางศิลธรรมกำลังต่อสู้กับเศรษฐกิจเสรีทุนนิยมที่หลงทางอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่โลภ มีความโปร่งใส โดยตั้งอยู่บนฐานของความซื่อสัตย์ ไม่สร้างระบบอุปถัมภ์ สร้างผลประโยชน์ให้กับพวกพ้องและญาติมิตร การพัฒนาจะเกิดขึ้นได้เมื่อเรากล้าที่จะเปลี่ยนแปลง สนับสนุนระบบใหม่ที่มีการสร้างสรรค์อย่าง สุขมรอบคอบไม่เพ้อฝัน และเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แล้วเราจะไม่ช่วยร่วมกันสร้างสรรค์สังคมใหม่ละหรือ

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ระบบทุนนิยมที่ควรจะเป็น

ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้เราอยู่ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยม เพราะไม่ว่าเราจะดำเนินกิจการอะไรต้องใช้ทุน ระบบทุนนิยมที่ไม่ดีอาจแข่งขันกันสูงทำลายล้างผู้อ่อนแอได้ง่ายดังที่เราเคยได้ยินคำว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็กและ มือใครยาวสาวได้สาวเอา บริษัทที่ยืนยงอยู่ได้ก็ต้องชนะการแข่งขันหรือได้กำไรจากการประกอบธุรกิจ ทำให้ต้องหาหนทางที่จะทำให้ได้กำไรมากที่สุดแม้ว่าจะไม่ถูกต้องนักก็ตาม นึกอีกทีก็เป็นทางที่ทำลายระบอบเสรีประชาธิปไตยเหมือนกัน เนื่องจากผลประโยชนทำให้อะไรต่างๆ ผิดเพี้ยนไปได้ บริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ซื้ออำนาจรัฐเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ก็ยังอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งจริงแล้วเป็นประชาธิปไตยเทียม


ถ้าระบบทุนนิยมไม่มีส่วนดีอยู่บ้างประเทศต่างๆ คงไม่สนับสนุนส่งเสริมให้มีการลงทุนดำเนินกิจการต่างๆ เพราะยิ่งมีการลงทุนมากย่อมสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประเทศ และบริษัทใดประสบผลสำเร็จสูงก็มักจะคืนกับไรให้กับสาธารณะชน โดยการเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนด้านต่างๆ ตั้งแต่บริจาคสร้างถาวรวัตถุ ให้โรงเรียน สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล การสนับสนุนโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และอื่นๆอีกมากมาย นายทุนที่ดีจึงเป็นนายทุนที่ซื่อสัตย์สุจริต มีความสำนึกทางสังคม ไม่ใช่อ้างทุนนิยมและประชาธิปไตยเพื่อปล้นแผ่นดินและคนหาเช้ากินค่ำ ซึ่งเป็นทุนนิยมปลอมไม่ว่าฝ่ายใดต่อร่วมกันขจัดออกไป มิฉะนั้นแล้วจะนำพาประเทศไปสู่มิกสันญีได้

การบริจาคเงินกำไรในรูปแบบต่างๆ นั้นสอดคล้องกับหลักการของระบบทุนนียมที่ควรจะเป็นที่ไม่ให้ทรัพย์สินไปกองอยู่ที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือเก็บกวาดทรัพไปยู่ที่คนใดคนหนึ่ง แต่ให้มีการหมุนเวียนทรัพสินระหว่างนายทุนและผู้บริโภคให้มีความแตกต่างกันไม่มากจนเกินไป ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีรายได้เพียงพอที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ของนายทุนได้ และจะเป็นการดีถ้าจะให้ประชาชนมีส่วนเป็นเจ้าของมากขึ้น โดยให้มีส่วนในการร่วมลงทุนแม้จะไม่มากโดยการกระจายหุ้นให้แก่สาธารณะนั่นเอง