ในวันที่ 19 มีนาคมที่จะถึงนี้ ดวงจันทร์และโลกต่างเคลื่อนที่มาใกล้กันมากที่สุดในรอบ 19 ปี ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เห็นดวงจันทร์ดวงโตกว่าที่เคยเห็นและส่ว่างขึ้นมากกว่าที่เคยเห็น ทำให้มีคนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Super Moon ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ง่ายๆ วัตถุที่เคลื่อนที่ห่างออกไปจะมองเห็นว่ามีขนาดเล็กลง และเมื่อเคลื่อนที่เข้ามาใกล็ก็จะมองเห็นมีขนาดโตขึ้น เช่นเดียวกับความสว่างมากน้อยหรือการวัดความเข้มแสงจากวัตถุ(ดวงจันทร์)จะแปรตามระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์ (ระหว่างวัตถุที่แปล่งแสงกับตำแหน่งที่มองหรือวัดความเข้มแสง) ซึ่งระยะทางยิ่งน้อยก็จะยิ่งมีความเข้มสูง หลักการณ์นี้นิวตันได้ค้นพบไว้นานแล้วเป็นกดผกผันยกกำลังสอง เช่นระยะทางเข้าใกล้ลดลงครึ่งหนึ่งความเข้มแสงจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า
เหตุการณ์พระจ้นทร์เต็มดวงที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 19 มีนาคมที่จะถึงนี้ หลายคนก็ออกมาทำนายว่าจะเกิดเหตุร้ายๆ เสียมากกว่าไม่ค่อยมีใครทำนายว่าจะเกิดผลดี ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้ามาใกล้โลกแน่นอนว่าจะเกิดแรงดึงดูดระหว่างโลกและดวงจันทร์เพิ่มมากขึ้นตามกฏแรงดึงดูระหว่างมวล แรงจะมากน้อยแปรตามระยะทางระหว่างโลกและดวงจันทร์ ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งมีแรงดึงดูดระหว่างกันมากเช่นเดียวกับกฏผกผันกำลังสองของความเข้มแสงที่กล่าวแล้ว การมีแรงดึงดุดเพิ่มมากขึ้นจึงมีโอกาสที่จะเกิดภัยพิบัติจึงเป็นไปได้สูง เช่นเกิดภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว การเกิดคลื่นลมแรง และพายุ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
สำหรับวันที่ดวงจันทร์ไม่ได้เคลื่อนมาใกล้โลกมากที่สุดก็ยังเกิดภัยพิบัติได้ และโดยเฉพาะในวันที่พระจันทร์เต็มดวง ในบางประเทศมีหลักฐานเป็นสถิติชัดว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยกว่าวันปกติ โรงพยาบาลต้องเตรียมรับมือก่อนที่จะถึงวันพระจันทร์เต็มดวงก็มี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น