ได้พูดคุญกับญาติของคนที่ไปทำงานอยู่ที่ประเทศสวีเดน เอาเป็นว่าอยากจะเล่าเรื่องว่า ญาติเขาไปทำงานที่โน้นจนได้เป็นข้าราชการของประเทศสวีเดน เป็นคนทางใต้ที่มีโอกาสไปศึกษาต่อประเทศสวีเดนด้านวิศวกรรมไฟฟ้ากำลัง เมื่อศึกษาจบหัวข้อวิทยานิพนธ์คงจะดึงดูดให้บริษัททางด้านพลังงานไฟฟ้ามาว่าจ้างให้ทำวิจัยต่อก็เป็นมูลเหตุให้ทำงานต่อจนได้สิทธิ์เป็นพลเมืองของประเทศสวีเดน แต่ที่น่าแปลกที่มีมหาวิทยาลัยมาว่าจ้างให้เป็นอาจารย์ด้วยและถือว่าเป็นข้าราชการเสียด้วยทั้งๆ ที่ไม่ได้รับราชการเต็มเวลา คือ60 เปอร์เซนต์บริษัทจ่ายเงินเดือนอีก 40 เปอร์เซ็นต์มหาวิทยาลัยหรือรัฐบาลเป็นผู้จ่าย ก็นับว่าแปลกๆ ดีมีความยืดหยุ่น ส่วนการเรียนปริญญาเอกนั้นก็เอาผลงานที่ไปทำโครงการต่างๆ เป็น disertation ในการจบปริญญาเอก และเป็นผลงานวิจาการซึ่งได้ในระดับ รศ. แล้วมีผลงานเขียนในวารสารมีชื่อเช่น science direct ก็ไม่น้อยกว่า 10 รายการและยังมีคอนเฟอร์เรนซ์อีกพอควร ทางมหาวิทยาลัยอยากให้สอนให้คุมวิทยานิพนธ์นักศึกษาป.เอกมากกว่านี้ แต่ก็ยังคงทำงานทั้งสองส่วนอยู่
สิ่งที่เขาเล่าถึงการทำงานว่าได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบปรับอากาศในแถบยุโรปที่ปัจจุบันระบบปรับอากาศได้เปลี่ยนไปจนแทบไม่ใช้ไฟฟ้าแต่ใช้ในลักษณะเหมือนกับมีท่อน้ำร้อนมาตามบ้านเรื่อนให้ แต่สามารถปรับให้ร้อนเย็นได้ลักษณะนี้ใช้ไฟฟ้าก็เฉพาะการควบคุม ตอนนี้ก็กำลังสอบถามดูว่าใช้หลักการอะไรในการทำงาน แต่ถ้าทำให้ร้อนนั้นคงไม่ยากเพราะน้ำร้อนมาทำเป็นฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่นได้แต่ถ้าอากาศร้อนใช้น้ำร้นทำให้เย็นคงลำบากแต่เขายืนยันว่าทำได้
เขายังได้เล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่อีกด้วยว่าแม้เงินเดือนจะสูงหลายแสนบาทแต่ก็ถูกเก็บภาษีถึง 40 เปอร์เซ็นต์ที่ว่ารัฐสวัดิการนั้นเข้าใจว่า การเรียนฟรี กินฟรีของโลกในโรงเรียนจนอายุ 18 ปีแต่ตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็คงตัองเสียบ้าง เพราะรัฐคืนเงินมาให้อีกถ้ามีลูกเพราะถือว่าได้จ่ายเงินภาษีไว้แล้ว และอีกอย่างมหาวิทยาลัยในสวีเดนล้วนเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐทั้งสิ้นค่าเล่าเรียนก็น่าจะพอกับทีรัฐจ่ายคืนให้
เรื่องหนึ่งเขาบอกว่าแตกต่างไปจากเมืองไทยมากก็คือ การยอมรับการทำงานจากคนที่มีผลงานคิดค้นมาก แม้ว่าจะเป็นคนหนุ่มก็ก้าวหน้าข้ามขั้นไปได้เลยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดหากว่ามีความสามารถที่เป็นประโยชน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น