หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

สสารกับพลังงาน VS รูปกับนาม

ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ได้แบ่งออกเป็น 2 พวกหลักคือ สสาร และพลังงาน สสารคือสิ่งที่มีตัวตน ที่มองเห็นได้และมองไม่เห็นมีคุณสมบัติร่วมที่มีมวลอาจจะอยู่ในสถานะของแข็ง ของเหลว แกส และพลาสม่า สำหรับพลังงานไม่มีตัวตนสามารถเปลี่ยนจากรูปหนึ่งไปอีกรูปหนึ่งมีความสามารถทำให้สิ่งที่มีมวลพยายามเคลื่อนที่ หรือทำให้เคลื่อนที่หรือทำให้เปลี่ยนความเร็ว และท้ายที่สุดจากการค้นพบของไอน์สไตย์ พบว่าสสารสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้โดยตรง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าสสารและพลังงานสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมากันได้

ในศาสนาพุทธก็แบ่งสิ่งทั้งหลายสิ่งทั้งปวงเป็นสองพวกคือรูปกับนาม เทียบรูปได้กับสสารอยู่ในรูปสถานะต่างๆ เช่นเดียวกันรูปเป็นสิ่งที่มีตัวตนสามารถมองเห็น แตะสัมผัสจับต้องได้เหมือนกัน ในทางพุทธศาสนาจะแบ่งรูปออกไปใน 4 รูปแบบคือ ดิน น้ำ ลม และไฟ  ซึงดูเหมือนว่าหยาบๆ แต่ถ้าเทียบเคียงดูในทางวิทยาศาสตร์แบ่งสสารออกได้หลายรูปแบบ  ในทางฟิสิกส์สามารถกำหนดได้ว่าองค์ประกอบที่เล็กย่อยที่สุดที่ไม่สามารถแบ่งแยกออกได้อีกต่อไปคืออยู่ในรูปอะตอม แต่บอกได้ว่ามีองค์ประกอบของธาตุทั้งสี คือสภาพที่เป็นดินก็คือมีมวล สภาพที่เป็นน้ำคือสสารสามารถทำให้เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวได้ก็ถือว่ามีธาตุน้ำ และในอะตอมมีที่ว่างและมีอนุภาคต่างๆที่เคล่ื่อนไหวเทียบได้กับธาตุลม และแน่นอนว่าในอะตอมมีการเคลื่อนไหวมีพลังงานมีความร้อนที่คิดให้เป็นธาตุไฟได้
จากที่ได้เทียบเคียงให้เห็นนั้นสสารที่เราสังเกตได้สามารถจัดให้อยู่รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ในดิน น้ำ ลม และไฟ และเมื่อพิจารณาอะตอมอันเป็นองค์ประกอบมูลฐานของสสารกลับพบว่ามีสภาพดินน้ำลมไฟอยู้่ในตัว ดังนั้นกล่าวได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีดิน น้ำ ลมไฟ อยู่ในตัว และที่จะเห็นต่างกันก็คือว่าในพุทธศาสนานั้นได้กำหนดไฟอันเป็นรูปของพลังงานเป็นรูปที่มีตัวตน สอดคล้องกับหลักการสมัยใหม่คือสสารกับพลังงานเป็นสิ่งเดียวกันสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้

ในส่วนที่สองคือนาม คือสิ่งที่ไม่มีตัวตนแต่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดการรับรู้ต่างๆ ซึ่งคือสิ่งเดียวกับที่เรียกกันว่าจิต ในทางฟิสิกส์ไม่มีส่วนใดที่จะกล่าวได้ว่าเป็นจิต เมื่อกล่าวถึงเรื่องจิตก็จะกล่าวถึงสิ่งที่ยังไม่แน่ใจยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ที่เรียกว่าอภิปรัชญาหรือ Meta physics ในทางพุทธศาสนาได้พูดเรื่องนี้ไว้ละเอียดมากว่าเรื่องของรูป เพราะทางศาสนานั้นมุ่งเน้นในการแก้ปัญหาทางจิต เพราะถือว่าจิตก่อให้เกิดการกระทำต่างๆ ไม่ใช่สมองก่อให้เกิดการกระทำ แต่เป็นตัวที่ควบคุมการกระทำตามศักยภาพของแต่ละคนเสียมากกว่า และที่เห็นเด่นชัดอีกอย่างที่พุทธศาสนาแบ่งแยกแยะในรายละเอียดลงไป  ในขันธ์ 5 อันประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ซึ่ง 4 ประการหลังเป็นองค์ประกอบฝ่ายจิตหรือนามนั่นเอง กล่าวได้ว่า เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่มีมามากกว่า 2500 ปีแล้ว และยังยืนยงคงทนต่อการพิสูจน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น