หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

เฝ้าระวังแจ้งเหตุประเทศไทย

การชุมนุมที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่คาดกันว่ามีความโน้มเอียงที่จะเกิดความรุนแรงอันเนื่องจากมือที่เท่าใดก็แล้วแต่ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่มีผู้ออกมาต่อต้านความรุนแรงหลายกลุ่ม เป็นสัญญานบอกว่ารับไม่ได้กับผู้ที่มีความก้าวร้าว สร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นในการเรียกร้อง ซึ่งโดยผู้ที่รักความสงบรักความเป็นธรรม และปัญญาชนโดยทั่วไปนั้น ย่อมไม่ตัดสินปัญหาด้วยกำลัง แต่ใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา

การชุมนุมอย่างสันติที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เกิดกับสาธารณะเป็นยอดปรารถนา แต่ผ่านมานั้นหลีกเลี่ยงได้ยาก ก็มีข้ออ้างทั้งนั้น ในบางประเทศที่เจริญแล้วเมื่อมีการชุมนุมเดินขบวนตำรวจมาอำนวยความสะดวก ให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด และผู้ชุมนุมเองก็เกรงว่าสาธารณะชนจะเดือดร้อน แม้แต่เครื่องขยายเสียงก็ไม่ยอมใช้ ก็มีแต่ป้ายชู้กันสลอนเท่านั้นเอง ก็ลองเปรียบเทียบกับประเทศไทยดูว่าเป็นอย่างไรยังห่างไกลกันแค่ไหน เฝ้าระวังเตือนภัยสำหรับประเทศเราคงจะแก้กันในเร็ววันไม่ได้ ก็ต้องใช้เวลาที่จะสอนคนของเราอย่างไรให้เคารพในสิทธิของผู้อื่น ให้คิดได้อย่างมีเหตุผล มีความสามารถในการคิดเพื่อสันติ และใช้หลักกาลามสูตร ที่อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ไม่มีแนวคิดแนวทางใดที่ดีอย่างไม่มีที่ติแต่ยังมีข้อบกพร่องมีปัญหาอยู่บ้างเสมอ การยอมรับความเห็นที่แตกต่าง และยอมรับความคิดผู้อื่นหากเห็นว่าดีกว่าของตน ด้วยหลักการดังกล่าวนี้จะช่วยเฝ้าระวังเตือนภัยให้กับประเทศได้

ไม่ต้องพูดถึงว่าได้มาร่วมชุมนุมกันด้วยใจบริสุทธิ์ หรือถูกชักจูงหลอกล่อให้หลงเชื่อหรือด้วยอามิสสินจ้างหรือไม่ก็ตาม โดยจะรู้หรือไม่รู้ว่าตัวเองนั้นทำเพื่อใครหรือทำเพื่อสาธารณะเพื่อส่วนร่วม หรือจะทำเพื่ออะไรก็แล้วแต่ ผลการกระทำนั้นหากกลับมาทำร้ายทำลายประเทศตัวเอง และสุดท้ายก็ส่งผลต่อตัวเองในที่สุดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่เฉพาะแต่คนยากคนจนคนไร้โอกาส คนมีอันจะกิน คนชั้นกลาง ชั้นสูง ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันคือทุกคนแพ้ ประเทศก็แย่ลงไปอีก และถ้าเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ก็คงจะเป็นประเทศที่ล้มเหลว

ในภาพรวมไม่อยากจะพูดว่าเราทำอะไรได้อย่างนั้น การไม่ทำอะไรเลยก็ถือเป็นการกระทำอย่างหนึ่ง ในเมื่อทุกคนก็ได้รับผลกระทบในความถดถอยของประเทศที่จะตามมา ทั้งผู้หลงผิด ทั้งผู้ที่มีเจตนาร้ายเห็นแก่ตัว และผู้เข้าร่วมด้วยใจบริสุทธิ์ และผู้ไม่ทำอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาชนผู้มีปัญญาหากไม่กระทำอะไรเลยที่จะทำให้สังคมประเทศดีขึ้น ก็เท่ากับรอรับชตากรรมที่มีผู้กำหนดให้ แล้วทำไมจึงไม่ทำอะไรสักอย่างที่จะให้สังคมประเทศดีขึ้น เหมือนกับที่เราเคยพูดกันเสมอว่าประเทศชาติจะล่มจมหากคนดีมีปัญญาท้อถอย โดยยึดถืออยู่ข้อเดียวว่าทำแล้วเป็นประโยชน์แก่ส่วนร่วม

การชุมนุมด้วยคนจำนวนมากด้วยความเรียบร้อยไม่เกิดความรุนแรงก็จะได้รับคำชมเชยว่าเป็นผู้มีอริยะ ก็ด้วยทุกคนมีส่วนช่วยที่จะใช้ปัญญาในการเฝ้าระวัง แจ้งเหตุเตือนภัยในสิ่งที่จะเกิดความเลวร้ายกับประเทศ และทำในสิ่งที่จะเกิดผลดีกับประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น