ลัทธิที่ว่านี้ก็คือลัทธิจิตนิยม กับลัทธิวัตถุนิยม ในลัทธิแรกคือส่วนที่อยู่นอกเหนือความคิด (อันได้แก่จิต)ของคน เรียกว่าวัตถุหรือสสาร อีกประการหนึ่งได้แก่ความคิดหรือจิต หรือเป็นมโนภาพของคนเราทั้งลัทธิจิตนิยม และลัทธิวัตถุนิยมต่างก็อ้างว่าจะต้องมีอยู่ก่อน ลัทธิจิตนิยมก็ว่าโลกนี้มีจิตอยู่ก่อนแล้ว จึงค่อยมีสิ่งที่เรียกว่าวัตถุทีหลัง วัตถุเป็นเพียงสิ่งสมมุติ และเชื่อว่ามีอยู่จริง ทุกข์ สุข ใดๆ ก็เกิดจากจิตทั้งสิ้น โดยมีจิตนิยมโดยอัตวิสัย เห็นว่าโลกเป็นผลิตผลแห่งจิตสำนึกอัตวิสัยของคนและจิตนิยมภาววิสัยถือว่า สรรพสิ่งทั้งปวงในโลก เป็นเพียงผลผลิตของวิญญาณโลก ซึ่งจิตวิญญาณโลกดำรงอยู่อย่างอิสระ
ส่วนลัทธิวัตถุนิยมถือว่า โลกนี้มีวัตถุก่อนมีจิต หรือมโนภาพนั้นเกิดขึ้นทีหลัง และเกิดขึ้นจากวัตถุด้วยวัตถุ เป็นความจริง เป็นภาวะวิสัย ที่ไม่พึ่งอาศัยจิตสำนึกอัตวิสัย่เป็นธาตุแท้ของโลก ข้อยืนยันจากวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าโลกเป็นวัตถุมีอยู่ก่อนแล้วจึงค่อยมีมนุษย์ทีหลัง และการที่พบว่าที่เปลือกโลกมีแร่ธาตุต่างๆที่สามารถขุดขึ้นมาใช้ในปัจจุบันแสดงว่าต้องมีมากก่อน และการที่จะคิดสร้างภาพในใจได้ เพราะมีสมอง และสมองก็เป็นวัตถุ และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ต่างก็ประกอบด้วยวัตถุ ที่สามารถจับต้องได้ สัมผัสได้โดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยธาตุแท้ก็เป็นวัตถุ วัตถุดำรงอยู่ตลอดไปนานเท่านาน และมีขอบเขตกว้างหาที่สุดไม่ได้ ไม่สูญสลายไป แต่แปลงรูปไปเป็นอีกรูปแบบได้ มีการสร้างสรรค์ขึ้น ถ้าไม่มีวัตถุก็ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างวัตถุคือความจริงทางภววิสัย ซึ่งส่งผ่านมายังคนเราทางความรู้สึกนึกคิด แต่ดำรงอยู่โดยไม่พึ่งพาความรู้สึกนึกคิดของคนเรา โดยความรู้สึกนึกคิดจะจำลองคัดลอก และนำออกมาแสดงซ้ำๆ ความจริงทางภววิสัยที่ดำรงอยู่อย่างอิสระ โดยแยกออกจากจิตคนเราล้วนเป็นวัตถุ ความรู้สึกของคนสามารถสะท้อนออกมาได้ วัตถุจึงเป็นสิ่งที่รับรู้ได้ ไม่รวมอยู่ในจิตสำนึกอย่างไรก็ตามการเข้ามาของวิทยาศาสตร์ใหม่โดยกลศาสตร์ควอนตัม ที่ใช้หลักการความไม่แน่นอนในการอธิบาย เป็นโอกาสที่จะเกิดขึ้นซึ่ง ในการศึกษาสิ่งที่มีขนาดเล็กมากในระดับอะตอม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่การสังเกตจะไม่มีผลกระทบต่อสิ่งที่ถูกสังเกต จนได้เป็นข้อสังเกตว่าการคงอยู่ของอะไรนั้น จะมีอยู่จริงหรือไม่ก็จนกว่าเราได้เข้าไปสังเกตมัน จึงเป็นข้อถกเถียงกันว่าวัตถุจะมีได้ก็ต่อเมื่อเราไปสังเกตมันหรือว่ามันมีอยู่แล้วแม้ว่าไม่ไปสังเกต แล้วถ้าไม่สังเกตแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันทีอยู่ก่อนแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น