ในโลกปัจจุบันหลายคนบอกว่าเราอยุ่ในโลกของวัตถุนิยม ที่คิดว่าการมีวัตถุสิ่งของจะนำมาซึ่งความสุขได้ ทำให้โลกเราเต็มไปด้วยการแสวงหาสิ่งของเพื่อที่จะทำให้เกิดความสุข แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้คนมีความ่ทุกข์จากการมีสิ่งของ ต้องมีความกังวลใจว่าจะมีคนมาขโมย หรือกลัวว่าจะสูญหายไป บางครั้งก็ให้เกิดความอิจฉาริษยาที่ก่อให้เกิดการทำลายล้างกันก็มี มีคนเคยกล่าวว่าอาชีพจากกิเลสของคนจะไม่มีวันอับจน เพราะคนมีความอยากไม่มีที่สิ้นสุด มีแล้วอยากมีอีก เมื่อเบื่อก็อยากได้ที่ใหม่กว่า เป็นธรรมชาติของคนที่เป็นปุถุชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ยังขาดการศึกษา การศึกษาไม่ได้ช่วยยกระดับ จิตใจให้ควบคุมตนเองให้ได้สิ่งของมาในทางที่ถูกต้อง ก็จะเป็นสังคมที่ยังหา ความสงบสุขไม่ได้ แม้ว่าตามความเชื่อทางศาสนาว่าการสร้างกรรมชั่วเป็นวิบากกรรมที่จะต้องติด ตัว สำหรับคนทำชั่วไม่เข้าใจ ไม่รู้ถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำไป
ทำอย่างไรจะไม่ให้คนหลงไหลในวัตถุจนก่อให้เกิดทุกข์ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม การศึกษาจะช่วยให้มีการประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติไม่ เบียดเบียนกันและกัน ไม่ทำให้ผู้อื่นเสียประโยชน์หรือเดือดร้อน ถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะทำให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นด้วย เพราะการเดือดร้อนของคนหนึ่งอาจจะทำให้อีกคนหนึ่งเดือดร้อนด้วย ซึ่งต้องตระหนักในเรื่องนี้ให้มาก และเพื่อที่จะยกระดับไปให้ถึงความสงบสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้เนื่องมาจาก วัตถุเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความสุขทางจิตที่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้แม้แต่กิเลสของตัว เอง ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นนามธรรมเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้
ถ้านึกย้อนไปก่อนที่จะมีวัตถุสิ่งของมากมายในปัจจุบัน เราก็มีวัตถุป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ ไม่มีสารพิษตกค้าง ไม่มีมลภาวะดังในปัจจุบัน ในน้ำมีปลา ในป่ามีอาหาร น้ำดื่มที่สะอาดจากน้ำฝน ได้ให้ความสุขกับมนุษย์ชาติมาเป็นเวลาช้านาน แต่เมื่อมนุษย์มีความเจริญทางด้านวัตถุเพิ่มขึ้น ความถดถอยทางด้ายจริยธรรมก็มีมากขึ้นเช่นกัน และทุกวันนี้ที่มนุษย์ทะเลาะกัน ทำสงคราม และก่อการร้ายกันนั้นว่าระหว่างวัตถุธรรม กับนามธรรมนั้นลึกๆ แล้วต้องการอะไรกันแน่ นามธรรมความสงบแห่งจิต หรือทุกสิ่งต้องแลกด้วยการต่อสู้ตัดสินปัญหาด้วยกำลังแม้แต่ในเรื่อง นามธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น