หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในโลกาภิวัฒน์ทุนนิยม

ในยุคโลกาภิวัฒน์เศรษฐกิจทุนนิยมดูเหมือนจะสอดคล้องกับวัตถุนิยม เพราะผู้มีทุนก็ต้องการลงทุนเพื่อให้ได้กำไรสูงสุดดังที่ทราบกันดี การที่จะให้ได้กำไรมากนั้นก็ต้องหาวิธียั่วยุชักจูงให้คนบริโภคให้มาก จากที่มีการสำรวจพบว่ามีการใช้งบในการโฆษณาไปทั่วโลกราว 450,000 ล้านดอลล่า และสิ่งของวัตถุที่เป็นที่ต้องการจำนวนมากไม่ได้มีความจำเป็นต้องการดำรงชีวิตเลย แต่ทุกคนก็แสวงหาไขว่คว้ามาจนบางครั้งยอมแม้กระทั่งต้องทำการทุจริตต่างๆนาๆ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม


ส่ิงของวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถยนต์ เครื่องใช้อำนวยความสะดวกต่างๆ ก็เป็นผลมาจากการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์จนเกิดเป็นเทคโนโลยีที่วิศวกรคิดค้นขึ้นมาก็เพื่อสร้างความสะดวกสะบายให้กับมนุษย์และเพื่อแก้ปัญหาให้กับมนุษย์ และคิดว่าการมีวัตถุุสิ่งของมากจะช่วยสร้างความสุขได้มาก แต่มนุษย์ก็อาจจะลืมไปว่าความสุขความทุกข็เกิดมาจากความคิดของมนุษย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุุโดยตรง ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับจิตของมนุษย์ เมื่อไรก็ตามที่มนุษย์มุ่งเน้นไปที่วัตถุที่จะทำให้เกิดความสุขได้โดยปราศจากการควบคุมแล้วจะกลับนำความทุกข์ความชั่วร้ายกลับมาดังที่เราเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน

ในระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ โอกาสของผู้ที่ได้เปรียบในการแข่งขันจะยิ่งมีมากขึ้น ทำให้เกิดช่วงว่างระหว่างชนชั้นห่างมากขึ้น ชนชั้นที่มีรายได้มากก็จะใช้จ่ายบริโภคกว่ากลุ่มรากหญ็าคนจนนับสิบเท่าขึ้นไป การพัฒนาไปในลักษณะนี้ก็จะก่อให้ัเกิดการทำลายทรัพยากรมากขึ้น การมีช่วงว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากก่อให้เกิดปัญหาสังคมมากมายตามมา และโดยเฉพาะทำให้มีมิจฉาชีพเกิดขึ้นมากมายหลายรูปแบบ รวมทั้งอาชญากรรมรูปแบบต่างๆ ทางออกที่มักยังเข้าใจกันว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะเป็นกรรมเก่าเคยทำชั่วความดีไม่พอ ซึ่งก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่ที่แน่ๆ ถ้ายังปล่อยให้เป็ํนเช่นนี้เรื่อยๆ ให้ช่วงกว้างความแตกต่างมากขึ้นส่งผลในทางที่ไม่ดีแน่นอน ทางออกที่แท้จริงก็คือการบริหารจัดการ่ทรัพยากรให้ัมีการกระจายไปสู่ทุกกลุ่มอย่างสมดุลย์มีความยุติธรรมแล้วย่อมส่งผลให้ช่วงว่างลดลงได้แน่นอน

วิทยาศาสตร์เป็นความรู้สาธารณะที่ค้นพบและเผยแพร่โดยไม่ต้องซ์้ัอขาย แต่เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ซ์้อขายกัน เราคิดแต่จะขายเทคโนโลยีที่นำไปสร้างเป็นผลิตภัณฑ์สิงของเครื่องใช้ให้คนอยากได้กัน ย่ั่วให้คนอยากได้ แต่เรายังไม่ค่อยมีใครคิดค้นเทคโนโลยีลดความอยาก ลดการบริโภคเพื่อให้ัโลกอยู้่รอดปลอดภัยมากขึ้น เห็นจะมีแต่หลักของพุทธศาสนาเท่านั้นที่น่าจะเป็นเทคโนโลยีของการลดความอยาก ลดกิเลส ลดการบริโภค

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น