หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เมื่อผู้คนห่างไกลศาสนา

ตามที่เคยทราบมาว่าศาสนาพุทธจะยืนยงอยู่ได้ไปถึง 5000 ปี แต่เมื่อถึงกี่งหนึ่ง 2500 ปี ก็จะเห็นถึงความเสื่อมถอยของสังคมวัฒนธรรมของเราที่ ซึ่งขณะนี้ก็ทราบกันดีว่าวัฒนธรรมตะวันตกได้คืบคลานเข้ามาครอบงำ วัฒนธรรมแบบชาวพุทธดั้งเดิมที่เน้นในเรื่องนามธรรมเรื่องของจิตใจ มากกว่าวัตถุธรรมที่เน้นการแสวงหาวัตถุเพื่อความสุขมากกว่าความสุขทางใจ วัฒนธรรมดังกล่าวนี้ได้รวมไปถึงวิธีคิดซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเจนในระบบการศึกษาของเราดังที่ อาจารย์พุทธทาสได้บอกว่าเป็นการศึกษาหมาหางด้วน นั่นก็คือไม่ได้มีรากฐานอันมั่นคงที่จะก้าวเข้าสู่เป้าหมายของชีวิต


หากสถานะการณ์ยังคงเป็นอยู่เช่นนี้ต่อไป ก็คงจะเป็นไปตามคำทำนายที่สังคมจะมีความเสื่อมมากขึ้น และอาจถึงขั้นมิกสัญญี ที่สังคมมีความแตกแยก แข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน สร้างความจงเกลียดจงชัง ทำลายล้างกันจนยากที่จะหาความสงบสุขได้ ความจริงเราเป็นผู้ที่โชคดีที่ได้มีโอกาสได้รับรสพระธรรมตามพุทธศาสนา ที่คำสอนต่างๆ นั้นไม่เพียงแต่ให้คนทำความดีอันก่อให้เกิดความสงบสุขแล้ว ยังมีส่วนคำสอนที่ก้าวไปสู่ความหลุดพ้นคือพระนิพพาน อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของสิ่งมีชีวิต ไม่ต้องพูดถึงในเรื่องที่จะละเลยในการทำความดี โดยไม่เบียดเบียนใคร โดยไม่ให้ใครลำบากใจ ศาสนาพุทธไม่เคยสอนให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แต่ให้แก้ปัญหาของตัวเองและสังคมในทางสันติ ดังจะเห็นว่าชาวพุทธมักจะเป็นผู้ถูกกระทำดังเช่นมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทาที่ประเทศอินเดีย ที่ถูกทำลายล้างจากการใช้กำลังของผู้อื่น แต่ศาสนาพุทธก็ยังคงมีอยู๋ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ยังอยู่ ให้คนได้ปฏิบัติตามให้ก้าวเข้าสู่เป้าหมายสูงสุดของชีวิตมนุษย์ต่อไป

เมื่อพูดถึงความรุนแรงอันเกิดจากความจงเกลียดจงชังที่สร้างสมกันมา ทั้งนี้ก็เพราะผู้คนมีอวิชชาไม่เข้าใจพระธรรมคำสั่งสอนหรือมีแต่ก็ไม่อาจปฏิบัติได้ ซึ่งมีหลักใกล้เคียงกันเช่นว่า "เวรย่อมระงับไปด้วยการไม่จองเวร" หรือ"ให้รักเพื่อนบ้านหรือศัตรูมากกว่าตัวเอง" แต่ในความเป็นจริงส่วนมากของปุถุชนก็ยังไม่มีใครปฏิบัติได้ อย่างไรเสียก็ยังรักพรรคพวก ญาติมากกว่าที่จะไปรักคนที่เป็นคนอื่นที่ไม่รู้จัก หรือจะไปรักคนละพวกต่างเชื้อชาติภาษาเป็นไปได้ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก เป็นความรักที่ไม่ถูกทาง ยังมีความลำเอียง ดังนั้น ความรุนแรง ความขัดแย้ง และสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ก็ยังมีให้เห็นอยู่เสมอในช่วงชีวิตของคนหนึ่งๆ

จึงได้ข้อสรุปว่าผู้คนห่างไกลศาสนา ไม่เข้าใจศาสนา และไม่ได้ปฏิบัติตามที่แต่ละศาสนากำหนดสังสอนไว้ ซึ่งนำมาสู่ความขัดแย้ง ความรุนแรงดังที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ มีคนเคยกล่าวไว้ว่าผู้ที่ปฏิบัติธรรมอยู่เสมอจะมองเห็นความผิดของตัวเองมากกว่าความผิดของผู้อื่น ยิ่งจะไม่มีทางที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะไปทำความชั่วร้ายใดๆ ฉะนั้นเราจงช่วยกันให้คนในสังคมปฏิบัติธรรมกันให้มากขึ้นในทุกระดับ และด้วยความหวังที่จะเข้าสู่เป้าหมายสุดท้ายของชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น