เมื่อพูดถึงเรื่องสังขารนั้นเรามักจะเข้าใจว่าหมายถึงสภาพร่างกาย ที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัย มักจะได้ยินว่า สังขารร่วงโรยไปก็คือร่างการเสื่อมสภาพไป สำหรับคนที่อายุมากขึ้น ก็มักจะพูดว่าสังขารไม่ให้แล้ว เวลาเสียชีวิตหรือตายจากไปก็อาจจะพูดว่าละสังขาร สังขารที่หมายถึงสภาพร่างกายดังกล่าวนี้มักจะเป็นสังขารภายนอก ที่ประกอบกันขึ้นปรุงแต่งกันมาเป็นรูปธรรม
ความหมายของสังขารอีกอย่างหนึ่งดังที่ปรากฏในหมวดธรรมที่เรียกว่าขันธ์ 5 หรือแบ่งธรรมทั้งหมาดเป็น 5 กอง สังขารเป็นธรรมหนึ่งใน 5 นั้น ในที่นี้จะหมายถึงความคิดปรุงแต่ง ซึ่งอาจจะปรุงแต่งไปในทางดีก็เป็นกุศลสังขาร หรือทางร้ายก็เป็นอกุศลสังขารหรือเป็นบาปมาจากกิเลสที่จัดเป็นสังขารที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นไปต่างๆ นานา เศร้าหมอง โศรกเศร้า บาป สนุกสนาน บันเทิง และยังรวมไปถึงการปรุงแต่งจิตให้ฌานต่างๆ หรือที่เรียกว่าปรุงแต่งจิตให้เป็นอเนญชะ สังขารที่ไปปรุงแต่งวิญญาณก็คือจิตของเราจะให้เป็นอะไรก็แล้วแต่สังขาร
เมื่อเราไปงานศพเมื่อมีการทอดผ้าบังสกุลิ ก็จะได้ยินคำจากพระที่ไปรับผ้าบังสกุลว่า
อนิจจา วัตสังขารา ..สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
อุปปา ทวยธัมมิโน... มีความเกิดและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ...เกิดขึ้นแล้วดับไป
เตสัง วูปสโม สุโข...การสงบสังขารเสียได้เป็นสุข
จะเห็นว่าสังขารที่กล่าวถึงในบทสวดนี้ไม่ใช่สังขารภายนอก แต่ถ้าหยุดคิดหยุดปรุงแต่งแล้วก็จะเกิดความสงบสุขได้เหมือนกับตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่นานได้ตรัสไว้ว่า วิสังขารคตัง จิตตัง หมายถึงจิตของเราถึงวิสังขาร หรือไม่มีการปรุงแต่งก็ไม่เป็นสังขาร ก็เข้าสู่ความสงบของสังขารซึ่งก็คือนิพพานนั่นเอง (วิสังขาร)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น