หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ควันหลงจากการเข้าร่วมสัมนาการจัดการความรู้

การเข้าร่วมสัมนาที่คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยมีผศ.ดร.ธวัชชัย ปิยวัฒน์ เป็นวิทยากร ได้บรรยายลักษณะของการดำิเนินการในการจัดการความรู้ ตั้งแต่ต้องมีคุณเอื้อ คุณประสาน (network manager) ก่อให้เกิดเครือข่ายจากการประสาน โดยมีจุดเชื่อมอันเป็นชุมชนของนักปฏิบัติ (Community of practice:Cop) เป็นชุมชนจุดภาคที่มีแผนที่เป็นตัวเชื่อมกัน และการเป็นนักขายภาพอนาคต ผู้บริหารระดับต่างๆ เป็นสนับสนุนให้คุณกิจที่เป็นคนทำงานทั้งหลายในองค์กรให้ดำเนินไปเกิดผลสำเร็จ อย่างราบรื่น หรือผู้บริหารเป็นเหมือนซาวแทรค (sound track)ในภาพยนต์ ให้ดารานำ ดาราประกอบโดดเด่น จะเห็นว่าภาพยนต์ที่ไม่มีซาวด์แทรค นั้นก็จะขาดความน่าสนใจอรรถรสในการชม นอกจากนี้ยังจะต้องมีคุณวิศาสตร์ (Wizard) ที่เป็นพ่อมดแม่มด ผู้ที่รู้เรื่องจริงมีทักษะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ระบบไอทีให้เหมาะสมจะช่วยทำให้การทำงานในหน้าที่ ต่างๆ ได้สะดวกอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


การจัดการความรู้ในสภาพปัจจุบันมุงไม่ในทางสังคมศาสตร์เชิงคุณภาพมากขึ้น เช่นทำไมจึงไม่มีความร่วมมือกัน ทำไม่จึงเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และไม่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในการจัดการความรู้จะใช้อำนาจไม่ได้เลย การเสริมความรู้เป็นการให้อำนาจไม่ใช่การควบคุม ความรู้ไม่ใช่เป็นสมบัติของใคร แต่เป็นพลวัตที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการไปควบคุมก็จะไม่ได้ความคิดสร้างสรรค์ที่จะเกิดขึ้นในองค์กร โดยการพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรเรียนรู้ (Learning Organization) ก็เป็นรูปแบบการจัดการความรู้อย่างหนึ่งตามข้อกำหนดของเดมมิ่งคือ การมีวิสัยทัศน์ร่วม (Share vision), มีกรอบความคิด (mental model) มีความรอบรู้ส่วนตน (Personal mastery) มีความคิดเชิงระบบ (system thinking) และการเรียนรู้เป็นทีม (team learning)

ที่วิทยากรเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการมีวิสัยทัศน์ร่วม โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่าวิสัยทัศน์ที่ดีที่สุดจะต้องโฟกัสได้เหมือนกับแสงเลเซอร์ที่คมเจาะลึกได้ โดยยกตัวอย่างว่า ผู้บริหารไปถามพนักงานดูแลเครือง่ายคอมพิวเตอร์เพื่ออะไร วันแรกตอบว่าให้เครือข่ายทำงานได้ต่อเนื่องไม่ติดขัด วันต่อไปบอกว่าดูแลให้ทำงานเกิดความปลอดภัย ..และอีกหลายอย่างก็ยังไม่ถูก แต่สุดท้ายตอบว่า ก็เพื่อให้องค์กร(บริษัทดำเนินธุึรกิจ)ได้่กำไรสูงสุึดจึงเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เป็นวิสัยทัศน์ร่วมที่ทุกคนในองค์กรนั้นยึดถือ นั่นก็คือต้องดูแลเครือข่ายเพื่อให้เกิดกำไรสูงสูด นั้นก็ต้องมุ่งเน้นด้านประสิทธิภาพเป็นสำคัญ คนที่ทำงานเครือข่ายก็สามารถเสนอแนวทาง แนวคิดในการลดต้นทุนเพื่อให้ได้กำไรสูงสุดได้เช่นกัน

การที่คนทำงานสามารถที่จะพัฒนากรอบความคิด เช่นการคิดสิ่งใหม่ๆ และการคิดเชิงระบบหรือเป็นการคิดในองค์รวม ที่ต้องทราบว่าตัวเองอยู่ในส่วนไหนตำแหน่งใดขององค์รวมที่มีความเชื่อมโยง กันก่อให้เกิดการทำงานเป็นทีม และสร้างความสามารถรอบรู้เฉพาะตน ซึ่งก็ไปตรงกับที่คุณกิจจะต้องพัฒนาให้มีขึ้น เช่นทักษะการฟัง พูด คิดเชิงบวก ความรู้วิธีการใหม่ๆ ไปทดลอง การสัง เกต วัด นับ บันทึกผล และทดลอง การประเมินด้วยตนเอง หรือร่วมกับเพื่อนเป็นต้น

สุดท้ายวิทยากรได้นำเสนอว่าการจะเป็นองค์กรการเรียนรู้นั้นจะต้องบุคคลที่เรียนรู้ (learning person) อันประกอบด้วย การเรียนรู้ (learn) มีความเอาใจใส่ (care) มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (share) และมีการส่งเสริมยกย่องคนดี (shine) การเรียนรู้ความรู้อันเป็นพลวัต เมื่อเรารู้แล้วก็อยากให้คนอื่นรู้บ้าง จะต้องทำให้องค์กรเป็นผู้ให้และผู้รับที่ดี มีคนพูดก็ต้องมีคนฟัง การให้รางวัลในการยกย่องคนทำดี ต้องไม่เป็นการให้รางวัลคนหนึ่งและเป็นการลงโทษคนอื่นที่เหลือ หรือลงโทษคนหนึ่งแล้วไปเหมือนกับการลงโทษคนอื่นทั้งหมด การลงโทษเป็นศิลปะขั้นสูงแต่การให้รางวัลก็เป็นศิลปะที่สูงกว่า ดังนั้นการบริหารรวมทั้งเทคโนโลยีต้องให้เป็นซาวด์แทรคอย่างที่ว่าสนับสนุนให้คุณกิจเป็นดารานำ หรือเอื้อให้เกิดการทำงานทั้ง 4 ดังกล่าวคือ Learn Care Share Shine

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น