หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วัฒนธรรมกับโลกร้อน

จากการที่ได้รับการยืนยันในทางวิทยาศาสตร์ว่าอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น จนเป็นภาวะโลกร้อน อากาศโดยทั่วไปร้อนขึ้น อาคารต่างๆ ก็ติดเครื่องปรับอากาศมากขึ้น นั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องสูญเสียไปกับค่าพลังงานจำนนวนมหาศาล เมื่อเครื่องปรับอากาศเป่าลมร้อนออกมาข้างนอกในกระบวนการสร้างอากาศให้เย็นลงภายใน ดังนั้นผู้ที่อยู่ภายนอกอาคารก็จะยิ่งร้อนมากขึ้น



ถ้าหากว่าโลกยังคงร้อนขึ้นแบบนี้เรื่อยๆ แล้วเราคงต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ ปรับวิธีทำงาน ปรับวิธีการแต่งตัว ให้เข้ากับลักษณะของอากาศและสิ่งแวดล้อม เพราะการพัฒนาที่ผ่านมาเรามุ่งพัฒนาไปตามอย่างประเทศที่มีอารยะธรรมสูงกว่า โดยลืมนึกถึงบริบทที่แตกต่างกัน โดยพยายามมุ่งไปที่ความเป็นสากลและผู้มีอารยธรรม คนไทยสมัยโบราณไม่สวมเสื้อไม่ได้ไปไหนเป็นทางการ เมื่อชาวต่างชาติมาพบเห็นเข้าก็อาจนำไปพูดว่านั่นไม่มีวัฒนธรรม ทำให้สมัยหนึ่งรัฐบาลถึงกับออกกฏหมายวัฒนธรรม ระบุความผิดถ้าไม่สวมเสื้อในที่สาธารณะ ทำให้เราต้องสวมเสื้อผ้าไปในทางผู้พัฒนาแล้ว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนนั้นชาวบ้านก็ไม่ได้สวมเสื้อผ้าในตอนกลางวันทั้งนี้ด้วยเหตุผลหลักก็คืออากาศร้อน ยิ่งสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นไปอีกทำให้บางคนไม่สวมเสื้อผ้าเลย แต่ก็กลัวว่าจะผิดกฏหมายวัฒนธรรม เมื่อออกจากบ้านก็มีเสื้อผ้าพาดไหล่ผูกเอวไปด้วย เมื่อจะถึงที่หมายที่จะไปก็นำเสื้อผ้ามาส่วมใส่

การที่เราต้องมีกฏหมายวัฒนธรรมก็อาจจะเนื่องมาจากว่ามีชาวต่างประเทศมาดูถูกเหยียดหยามว่า ไม่มีอารยะไม่มีวัฒนธรรม แต่การออกกฏหมายขณะที่ไม่ได้บอกว่า แต่งกายอย่างไรให้เหมาะกับอากาศประเทศไทย เพราะเมื่ออากาศร้อนมากๆ แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่อยากจะสวมใส่ เราจะเห็นชาวบ้ายยังคงถอดเสื้อกันอยู่อีกมาก แม้แต่ชาวต่างประเทศที่เข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยก็ตาลปัตร ก็ยังเห็นเดินไม่สวมเสื้อผ้าอยู่บ้างเหมือนกัน ไมรู้ว่าด้วยเหตุผลอากาศร้อนเพียงอย่างเดียวหรือไม่ จะว่าไม่มีอารยะธรรมก็ได้อยู่ แต่กฏหมายของไทยก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรมากนัก ดังจะเห็นว่าไม่มีใครถูกจับพระไม่ใส่เสื้อผ้าเพราะอากาศร้อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น