หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การให้เพื่อพัฒนา

ได้ อ่านข่าวเรื่องที่ประธานาธิปดีเกาหลีใต้ได้บริจาคเงินให้กับสาธารณะประโยชน์ ในด้านทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนนักศึกษา ผ่านทางมูลนิธี โดยประธานาธิปดีเคยเป็นนักศึกษาและต้องทำงานใช้แรงงานเพื่อเป็นทุนในการ ศึกษา และได้รับความช่วยเหลือผู้มีพระคุณช่วยเหลือจนได้เป็นประธานาธิปดี จึงตอบแทนบุณคุณโดยการมอบเงินที่เขาเคยได้รับมาคืนกลับให้กับสังคมเป็นจำนวนถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สินของเขา โดยเขามีความเชื่อตอนหาเสียงเป็นประธานาธิปดีว่าไม่อยากให้มีใครขาดการศึกษา เพียงเพราะความจน


จากที่กล่าวมาในกรณีประเทศเกาหลีใต้ เป็นประเทศที่เปลี่ยนผ่านไปเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ประชาชนในประเทศก็น่าจะมีความเสียสละไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประธานาธิปดี จึงเป็นข้อสรุปได้อีกอย่างหนึ่งว่า ประเทศที่ประสบผลสำเร็จกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วนั้น ประชาชนในชาติมีความรักชาติที่แท้จริง มีความเสียสละ ที่จะให้แก่สาธารณะ ไม่นิ่งดูดาย ไม่มุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์ส่วนตนแต่ฝ่ายเดียว แต่ไม่ยอมที่จะทิ้งใครไว้เบื้องหลัง นับว่าเป็นประเทศที่ถึือว่ามีศาสนาอยู่ในหัวใจ มีศาสนาที่ปฏิบัติได้จริง ไม่หน้าไหว้หลังหลอก หรือนับถือศาสนาเพื่อหน้าตา เอาหน้า พูดอย่างทำอย่าง เพราะคนที่ปฏิบัติตามหลักศาสนาที่แท้ มีความซื่อสัตย์สุจริตไม่คดโกง ไม่แอบแฟง มีความโปร่งใสอีกต่างหาก

ประเทศในยุโรปอีกหลายประเทศที่น่าจะเป็นแบบอย่าง ที่เขาเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มีความสงบสุขเกิดขึ้นได้ ตัวเลขชีวัดอย่างหนึ่งก็คือ ยอดเงินบริจาคของประชาชนในประเทศที่สูงมาก บางประเทศสูงมาก 4-5 เปอร์เซนต์ของจีดีพี เช่นประเทศในกลุ่มนอร์ดิก สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกามียอดเงินบริจาคมากถึง 2 เปอร์เซ้นต์ของจีดีพีก็นับว่าสูงมาก เมื่อคิดเป็นตัวเงินทั้งหมด หันกลับมาดูความใจบุณของประเทศเรา ที่จะเห็นเศรษฐีใจบุญบริจาครวมกันสักหมื่นล้านแต่ละปีเทียบเป็นจีดีพีแล้วจะ ได้สัก 0.1 เปอร์เซนต์ก็ยังยากเย็น โดยทั่วไปการให้ย่อมได้รับผลตอบแทนกลับมายังผู้ให้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ถ้าการให้นั้นมีเจนตนาที่แอบแฝงที่ต้องการได้ผลประโยชน์กลับคืนมากกว่า ที่ให้ไปเสียอีก แล้วจะเรียกว่าเสียสละได้อย่างไร แล้วเมื่อไรประเทศจะพัฒนาเสียที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น