หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิทยาศาสตร์การเมือง

ตอนนี้หลายคนอาจคิดว่าการเมืองร้อนแรงอยู่ในภาวะวิกฤติ ถึงขั้นเข้าสู่ทางตัน ที่ความคิดเห็นที่แตกต่างทำให้ขยายไปสู่ความแตกแยก ความสับสนอลม่าน ที่หลายคนคิดว่าอาจจะนำไปสู่การการล่มสลายของสังคม ในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้มองไปในลักษณะนั้น แต่มองเป็นกระบวนการธรรมชาติที่เมื่อระบบถูกรบกวนจนเกิดความไร้ระเบียบขึ้น ก็จะมีแนวทางที่จะทำให้เกิดความมีระเบียบมากขึ้น ซึ่งในธรรมชาตินั้นได้พบแล้วว่าในความไม่เป็นระเบียบนั้นมีความเป็นระเบียบอยู่ภายใน และในความมีระเบียบก็มีความไม่เป็นระเบียบอยู่ภายในเช่นเดียวกัน แม้ว่าสิ่งที่มารบกวนต่อระบบจะดูเหมือนว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่เมื่อสมาชิกในระบบพิจารณาว่าเป็นสิ่งสำคัญและนำเข้ามาในระบบแล้ว ก็จะมีการแพร่กระจายของข้อมูลสารสนเทศนั้นไปอย่างรวดเร็ว และจนกระทั่งมีผลการะทบต่อระบบอย่างรุนแรงแล้ว สมาชิกในระบบก็จะพิจารณาว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในระบบอย่างแท้จริง


มีการคิดว่ากระบวนการทางสังคมก็เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเราเคยได้ยินคำว่าวิทยาศาสตร์สังคม และคำว่าวิทยาศาสตร์การเมืองนั้นแปลตรงๆ มาจากคำว่า political science ซึ่งเราแปลมาใช้ว่า รัฐศาสตร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เช่นเดียวกับคำว่า management science ที่หมายถึงวิทยาการจัดการ คำว่า science นั้นคงหมายถึงศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความจริงเรื่องราวในศาสตร์นั้นๆ ไม่ได้หมายความว่าวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวแต่มีมิติทางศิลปวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และที่จะทำให้ศาสตร์เหล่านี้เป็นเรื่องที่มีเหตุผล มีตรรกะ มีที่ไปที่มาการศึกษาในแต่ละศาสตร์ มักจะอาศัยการศึกษาตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาเกึ่ยวข้องด้วยจึงจะได้รับความเชื่อถือยอมรับมากยิ่งขึ้น การศึกษาวิจัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยหาทางออกให้กับประเทศ ให้กับปัญหาที่นำไปสู่วิกฤตและทางตัน ถ้ามีผลการศึกษาที่สามารถตอบคำถามที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันในทางเดียวกัน ซึ่งจะได้ข้อสรุปอันเป็นข้อตัดสินให้กับสังคมได้ทางหนึ่ง สามารถช่วยผ่าทางตันได้อีกทางหนึ่ง นอกจากว่าเราไม่มีการศึกษาอะไรที่จะใช้ยึดเป็นหลัก ซึ่งการพูดคุยเสวนาเพียงอย่างเดียวคงไม่พอกับสถานะการณ์ปัจจุบัน ซึ่งจำเป็นต้องใช้หลายทางประกอบกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น