หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สัมมาทิฏฐิที่ควรจะเป็น

ที่เราเคยทราบมาสัมมาทิฏฐินั้นเป็น เป็นหนึ่งในอริยมรรคที่่มี 8 องค์หรือ 8 ทาง ซึ่งเป็นหนทางแห่งการดับทุกข์ พระพุทธเจ้าได้ยกหัวข้อนี้เป็นข้อแรก ว่าเราต้องเห็นชอบเห็นถูกเสียก่อน คือให้เห็นยอมรับในสัจจะธรรมต่างๆ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อแก้ปัญหาต่างๆที่นำความทุกข์มาให้ ให้เกิดเป็นความสงบสุขและแม้แต่หลุดพ้นเข้าสู่นิพพานนั้น คงจะไม่ได้มาเฉยๆ ต้องใช้ความพยายามในการฝึกจิต วิปัสนากรรมฐาน


การเห็นถูกเห็นชอบนั้นจะต้องยอมรับว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดอย่างแท้จริง ยอมรับอริยสัจสี่คือทุกข์ บ่อเกิดแห่งทุกข์ การดับทุกข์และวิธีทางดับทุกข์ ยอมรับหลักธรรมในเรื่องไตรลักษณ์เห็นในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอันเป็นธรรมชาติของทุกข์สรรพสิ่ง การยอมรับสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลกันในปฏิจจสมุปบาททั้งฝ่ายก่อให้เกิดและฝ่ายก่อให้ดับในจิตใจ เห็นชัดถึงมรรค ผล เข้าสู่นิพพานนั้นมีอยู่จริง และยังต้องยอมรับกฏแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด เชื่อเรื่องกรรม และวิบากกรรม อันได้แก่ทำกรรมดีย่อมให้ผลดี ทำกรรมช่ั่วย่อมให้ผลชั่ว

จากนี้พอสรุปได้ว่า การเห็นชอบเห็นถูกนั้นมีหลายอย่างที่ต้องยอมรับไว้ก่อนเหมือนกับเป็นข้อตกลงเบื้องต้นว่าเป็นจริง หรือให้เชื่อว่าเป็นจริงไว้ก่อน เพราะในทางพุทธศาสนานั้นถือว่ายังไม่มีใครที่รู้จริงจนกว่าได้ลงมือปฏิบัติและเห็นแจ้งเห็นจริงว่าดับทุกข์ได้จริง เป็นข้อพิสูจน์ภายหลัง ไม่ต้องไปถกเถียงยืนยัน หาข้อพิสูจน์กันก่อนที่จะลงมือปฏิบัติ จะไม่มีใครสามารถบรรลุธรรมสูงสุดได้โดยที่ไม่ลงมือปฎิบัติอะไรเลย จะเถียงยกเหตุผลกันอย่างไรก็ตาม ก็ยังบอกไม่ได้ว่ารู้จริง จนกว่าจะลงมือปฏิบัติ นี่จึงเป็นที่มาของคำว่าความรู้จริงมาจากการปฏิบัติ และกลายเป็นความรู้ที่ดีที่สุดเมื่อปฏิบัติอย่างมีประสบการณ์ที่พอเพียง การเข้าสู่สัจธรรมอันสูงสุดจึงไม่เป็นสิ่งที่ยกมาถกเถียงกันในสิ่งที่ไม่มีใครรู้มาก่อน แต่พระพุทธองค์ไม่ได้บอกให้ใครเชื่อโดยไม่พิจารณาไตรตรอง ไม่ได้เข้ามาทดลองปฏิบัติเสียก่อน ซึ่งต้องใช้ความพยายามในการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น