หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ควันหลงพิธีเปิดโอลิมปิก

ประเทศที่เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกมีมากกว่า 200 ประเทศ ต่างก็มีส่วนร่วมในการเดินพาเหรดเข้าสู่สนามในพิธีเปิด พร้อมกันนั้น ผู้นำของประเทศก็จะมาโบกไม้โบกมือให้กับกระบวนนักกีฬาและผู้เกี่ยวข้องเข้าสู่สนาม จะมองเห็นกันหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งถ้าอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่าย ผู้เดินพาเหรดก็จะทักทายกับผู้นำของเขาด้วย ไม่ทราบว่ามีการนัดแนะกันมาก่อนหรือเปล่า เป็นการให้กำลังใจกัน ผู้นำบางประเทศกลัวว่าผู้เดินพาเหรดประเทศตนเองจะมองไม่เห็น ก็ต้องยืนโปกไม้โบกมือ บ้างก็เคลื่อนไหวเป็นเต้น แต่งตัวที่เป็นสัญลักษณ์ทำให้เห็นได้ชัดจำได้ก็มี่ และที่สื่อออกไปก็เพื่อให้เป็นที่รู้จักของประชาคมโลกด้วย เพื่อความยิ่งใหญ่เจ้าภาพก็ได้จัดให้มีนักเต้นชาวจีนมาต้อนรับอยู่รายรอบสนาม เพื่อให้ดูว่ามีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ไม่เงียบเหงา แต่ก็นั่นแหละคนไม่ใช่เครื่องจักรพอเต้นไปได้สักร้อยประเทศก็จะเห็นนักเต้นแสดงอาการเมื่อยล้า ความพร้อมเพรียงก็ลดน้อยถอยลง บางคนขยับขาแถบไม่ออกแม้จะซ้อมมาแล้วก็ตาม น่าจะมีผลัดหมุนเวียนเหมือนเปลี่ยนเวรยาม


ส่วนผู้ที่เดินพาเหรดเข้ามาในสนามนั้น บ่งบอกอะไรให้ทราบบางอย่างว่าโดยภาพรวมกลุ่มประเทศไหนเป็นอย่างไรก็ดูได้จากการแสดงออกขณะที่เดิน มีความยิ่มแย้ม สดชื่นขนาดไหน มีการแสดงออกทางร่างกาย ด้วยการกระโดดโลดเต้น ดีอกดีใจ ส่งเสียงโห่ร้อง ที่น่าสังเกตคนที่ถือป้ายชื่อนำหน้าของแต่ละประเทศนั้นมีความเหมือนๆ กันที่เจ้าภาพจัดให้ก็ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไร เพราะความเหมือนอาจทำให้ดูว่าซ้ำๆ น่าเบื่อ แต่ที่น่าดูก็คือคนถือธงชาติของแต่ละประเทศที่แต่งตัวแตกต่างกัน มักจะร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อมีการซูมภาพใกล้ผู้ถือธงทุกชาติ น่าเสียได้ที่สยามเมืองยิ้มผู้ถือธงของเราไม่ได้อินกับอารมณ์นี้ ไม่ได้ยิ้มไม่แสดงอาการอะไร ต่างกับชาติทางยุโรปที่แสดงออกกันอย่างเต็มที่ ส่วนประเทศที่เคยมีส่งครามเพิ่งผ่านมา ก็ดูหน้าตามักจะขรึมๆ การแสดงออกจะมีน้อยกว่า ถ้าจะวิเคราะห์ดูก็พอจะแยกออกได้เป็นประเทศที่พัฒนา ประเทศมีฐานะดี กว่า มีการเมืองมั่นคงกว่า มีความมั่นอกมั่นใจกว่าอะไรทำนองนั้น หรือถ้ามองลึกลงไปอีก ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด ประเทศที่มีการศึกษามากน้อยเพียงใด

การแสดงอันเป็นพิธีเปิดนั้น ตอนดูครั้งแรกผ่านทางโทรทัศน์รู้สึกทึ่งกับชุดการแสดง ที่มีความพร้อมเพียง แปรขบวนได้พร้อมเพรียงที่ใช้ผู้แสดง เป็นคนนับพันถึงสองพันคนในแต่ละชุด รู้สึกว่ายิ่งใหญ่สมกับเป็นประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดในโลก แต่แล้วข่าวที่มาทำลายความรู้สึกว่าจีนยิ่งใหญ่ก็ลดลงไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง เมื่อทราบว่าที่ออกที่วีมานั้นเป็นการแสดงสดผสมภาพกราฟิกส์แอนนิเมชั่น ก็ค่อยๆรู้ไปเรื่อยว่า เป็นการตัดต่อไม่ใช่ของจริง ก็เลยไม่รู้ว่าอันไหนจริงไม่จริง ที่ว่าพร้อมเพียงกันมากนั้น เป็นภาพกราฟิกส์แอนนิเมชั่นหรือเปล่า อย่างน้อยก็รู้สึกไม่ดีที่ว่าถูกหลอกให้ดูของไม่จริง โลกปัจจุบันอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น แถมยังคุยและยอมรับต่ออีกว่าแสดงให้เห็นการผสมผสานกันระหว่างของจริงและเทคโนโลยี หรือโลกแห่งความเป็นจริงกับโลกเสมือนที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้นทุกทีจนผู้ดูแยกไม่ออก แต่ยังไงก็มีคนจับได้จนต้องออกมายอมรับดังกล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น