เมื่อก่อนเราเคยคิดกันว่าถ้าเป็นที่ว่างแล้วก็ไม่มีอะไร เพราะเป็นที่ว่างไม่เห็นอะไร แต่เมื่อมองลึกลงไปไม่มีที่ว่างที่แท้จริง ไม่มีใครเคยเห็นหลุมดำแต่ทางวิทยาศาสตร์บอกว่ามันมีอิทธิพล มีผลต่อสิ่งอื่นๆ เช่นคาดเดาจากพฤติกรรมการหมุนวนแบบดาวคู่ที่หมุนรอบกันและกัน แต่มีเพียงดาวดวงเดียวที่ปรากฏให้เห็น อีกส่วนจึงคาดคะเนว่าเป็นหลุมดำ นอกจากนี้แล้วการที่วัตถุต่างๆ มีมวลอยู่ในจักรวาลก็จะส่งแรงถึงกันเสมอ ไม่ว่าจะมีมวลมากน้อยแค่ไหนอาการลักษณะดังกล่าวนั้นมีอยู่ในทุกส่วนของจักรวาลจึงเหมือนกับอยู่ในสนามของแรงระหว่างมวล และขณะนี้มนุษย์สามารถจะรวมแรงแม่เหล็กไฟฟ้า และแรงแบบอ่อน (weak) เข้าด้วยกันจนแยกไม่ออกถึงความแตกต่าง และยังมีความพยายามที่จะรวมแรงทุกแรงในธรรมชาติ คือแรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงอ่อน และแรงแบบแข็ง เข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวได้เมื่อไรก็ยิ่งตอกย้ำความเป็นเอกภาพตามทฤษฎีรวมสนาม (unified field theory) ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความสัมพันธ์กันตั้งแต่ระดับเล็กที่สุดของอนุภาคในอะตอมไปจนถึงโครงสร้างใหญ่ที่สุดที่เป็นดาราจักร
ลองพิจารณาที่ว่างในองค์กรในบ้านของเรา จะมีที่ว่างที่ไม่มีอิทธิพลถึงเราเลยคงจะไม่มีด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว เมื่อเทียบเคียงกับการเป็นอยู่ของเราไม่ว่าที่บ้านที่ทำงาน ต่างอยู่ในสังคมที่ยังมีความโยงใย ที่รู้สึกได้ต่อสิ่งที่จะมีผลกระทบในการดำเนินชีวิต ไม่มีอะไรที่เป็นที่ว่างที่แท้จริงโดยไม่มีอิทธิพลใดๆ ซึ่งก็ได้แก่หลุมดำนั่นเอง ไม่มีอะไรทีหยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงเป็นพลวัฒน์ ตามเหตุปัจจัย ที่จะส่งผลต่อองค์กร และชีวิตของเราตลอดเวลา จงหาหลุมดำ (สิ่งที่มีอิทธิพล)ในที่ทำงาน ในบ้้านให้เจอแล้วจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น