คนปถุชนคนธรรมดายังมีความรู้สึก อารมณ์ หรือเกิดเวทนาซึ่งทั้งนี้และทั้งนั้นเกิดจาก การที่เรามีผัสสะกับสิ่งที่มากระทบ
เวทนาเกิดจากผัสสะ เวทนาแบ่งออกได้ 3 อย่างได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ถ้ามีเวทนาก็มีตันหาหรือมีความอยากไปตามความหมายของเวทนา
การมีสุขเวทนาสิ่งที่มากกระทบได้รับความพึงพอใจ มีความยินดี ทำให้ให้ยึดติด อยากให ้ มีเช่นนี้ต่อไป หรือมีให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป มีแนวโน้มให้เกิดความละโมบโลภมาก
ทุกข์เวทนาทำให้เกิดความไม่พึงพอใจทำให้เกิดโทษะ เกิดความ โกรธ ไม่อยาก ให้้มีไม่อยากให้เกิด ขุ่นข้องหมองใจ ทำให้เกิดการทำล้ายล้างกันได้ง่าย
อทุกขมสุขเวทนา หรือกล่าวได้ว่ารู้สึกทั้งทุกข์และสุขคละเคล้ากันไป ไม่ถึงกับเฉยๆ กลางๆทำให้ลังเลสงสัยเกิดโมหะความโง่ขึ้นได้
ถ้าไม่มีผัสสะก็จะไม่มีโลกที่กระทบผิวหนัง ใจรู้สึกอย่างไรเป็นโลกที่ใจสัมผัสและรู้สึกหรือใจสร้างขึ้น ถ้าไม่มีผัสสะโลกก็จะไม่มี กายหูจมูกลิ้นกายใจไม่ทำหน้าที่จะไม่มีโลก โลกทั้งปวงมาจากผันสะ จะตัองใชปัญญาจึงจะเห็นได้คนที่มี เวทนาจะต้องแก้ด้วยอริยะสัจสี่ เมื่อมีผัสสะจะต้องดูว่ามีวิชชาหรืออวิชชาซึ่งไม่มีความรู้แจ้งที่ถูกต้อง ไม่มีผัสสะไม่มีโอกาสเกิดทั้งวิชชาและอวิชชา กรรม การกระทำทุกอย่างเนื่องมาจากผัสสะ ที่ทำให้เกิดเวทนาต่างๆกัน เกิดการกระทำกรรมทั้งหลาย ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว จึงกล่าวได้ว่ากรรมทั้งปวงมีผัสสะเป็นปัจจัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น