หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ควันหลงจลาจล ขอให้ความดีชนะความชั่ว

ภาพยนต์หลายเรื่องมักแสดงให้เห็นถึงคนดีและคนเลว หรือฝ่ายธรรมกับอธรรมต่อสู้กัน และมักจบลงด้วยฝ่ายดีชนะฝ่ายเลว หรือฝ่ายธรรมชนะอธรรม แต่ก่อนจะชนะได้นั้นฝ่ายอธรรมจะมีบทบาทสร้างความรุนแรงเสียหาย ฆ่าผู้อื่น จนกว่ามีฝ่ายธรรมมาปราบได้สำเร็จ ซึ่งตามเรื่องในภาพยนต์จะชี้ให้เห็นว่าฝ่ายผู้ร้ายมักมีฤทธิ์เดชมากกว่าจะปราบได้ก็สร้างความเสียหายได้มากมาย ทำให้นึกถึงการชุมนุมที่เกิดจลาจลที่กรุงเทพ คงจะเป็นอุทาหรณ์ได้เช่นเดียวกันว่า กว่าฝ่ายธรรมจะปราบได้ ก็ทำเอาเสียหาย สร้างหายนะได้อย่างคาดไม่ถึง


สังคมของเราหากเมื่อไรที่มีคนดีน้อยกว่าคนชั่วคนเลวเมื่อไร สังคมนั้นก็มีแต่ความวุ่นวาย เป็นสังคมที่ล้มเหลว ไม่สามารถอยู่กันอย่างสงบสุขได้ สังคมเราที่ยังดำรงอยู่ได้ก็เชื่อว่ายังมีฝ่ายดีมากกว่าฝ่ายเลว และไม่คิดที่จะทำลายล้างคนชาติเดียวกัน เหมือนกับสงครามระหว่างประเทศ การมีผู้ก่อการร้ายที่เป็นกองกำลังติดอาวุธ การทำให้กลับสู่ภาวะปกติต้องใช้เวลานานขึ้น ถ้าต้องการให้เข้าสู่ภาวะปกติเร็วก็อาจต้องใช้กำลัง และอาวุธเข้าปราบปรามที่อาจเกิดความสูญเสีย และไม่แน่ว่าจะมีการจองเวรกันต่อไปไม่สิ้นสุด แม้ว่าทางศาสนาจะสอนไม่ให้จองเวรกัน ตามคำสอนที่ว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่ดูเหมือนว่า ก็ยังมีการจองเวรแก้แค้นกัน เรื่องนี้ฝ่ายธรรมะจึงต้องระมัดระวังมาก

นักปราชญ์เช่นดิวอี้เคยมีผลงานเขียนไว้ว่า มนุษย์อาจเจริญขึ้นได้ทั้งในทางดีและทางร้าย เช่นคนที่ฝึกหัดเป็นขะโมยแล้ว อาจพัฒนาไปในทางที่ชำนาญขึ้นกว่าเดิม คนที่ก่อการร้ายก็อาจพัฒนาไปในทางที่เลวร้ายหนักข้อขึ้นไปอีก นักการเมืองที่คอร์รัปชั่นอาจทำได้อย่างชำนาญขึ้นอย่างมิต้องสงสัย สำหรับคนทำความดีก็พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น เพื่อต่อสู้กับพวกที่พัฒนาไปในทางที่เลวลง และคนดีจะท้อถอยไม่ได้ รวมทั้งจะต้องมีสติปัญญาเอาไว้แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น