Plank นักวิทยาศาสตร์ ผู้พัฒนาทฤษฏีควอนตัมเป็นคนแรก มีความเชื่อและเคยทำนายว่าด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และการกระจายความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวาง ความเชื่อเกียวกับความมหัศจรรย์อำนาจเหนือธรรมชาติ จะค่อยหมดไปโดยอัตโนมัติ แต่ดูเหมือนว่า Plank เคยกล่าวเช่นเดิยวกันว่าเขาคิดผิด ทั้งนี้เพราะยังคงมีความดึงดูดใจ ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ คุณไสย ในรูปแบบต่างๆ แม้แต่ในปัจจุปัน เกิดลัทธิต่างๆ มากมาย มีพิธีกรรมต่างๆ ยึดถือสิ่งศักดิสิทธิ์เกิดขึ้นมากมาย และเชื่อโดยขาดหลักเหตุผล มีการทำการค้าเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ยังคงยืนยงอยู่ได้ กระจายได้อย่างรวดเร็ว
สมการที่ Plank เคยให้ไว้ดูเหมือนว่าสองข้างจะไม่เท่ากันที่ว่า More science = less superstition หรือกล่าวได้ว่า วิทยาศาสตร์เพิ่มขี้นไสยาศาสตร์น้อย อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ให้องค์ประกอบสำคัญ จากการคำนวณของเขาว่า ช่วงเวลาที่รู้แจ้งนั้นครอบคลุมด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และ ผลพลอยได้พัฒนาเป็นเทคโนโลยี มีสินค้าและผลิตภัณฑ์ ที่ทำให้การดำเนินชีวิตของคนสะดวกสบายขึ้นกว่าเดิม
เช่นกันที่การดำเนินชีวิตของผู้คน ก็หนีไม่พ้นต้องรับความเปลี่ยนแปลง ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ใช้เทคโนโลยีที่ตกผลึกแล้ว ที่มีการใช้กันทั่วไปเป็นสิ่งปกติธรรมดาไป บางอย่างก็เชื่อวิทยาศาสตร์ เช่นว่าเมื่อจะซื้อเครืองอุปโภคบริโภคบางอย่าง ก็ต้องดูว่าผ่านการทดสอบได้รับการรับรองบ้างหรือไม่ หรือมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มายืนยันความน่าเชื่อถือ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีไป จะซื้อน้ำสักขวดก็ยังต้องดูว่ามี อย หรือไม่ ผลิตภัณฑ์บางอย่างต้องได้รับการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ก่อนจึงจะถือว่าได้มาตรฐานแข็งแรงทนทาน ผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการที่ได้รับความเชื่อถือ การค้นหาหลักฐาน ประกอบการสืบสวน ตั้งแต่ตรวจดีเอนเอ ตรวจสารตกค้าง ล้วนแต่ต้องใช้วิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น
ขณะเดียวกันความเชื่อที่ยากแก่การหาเหตุผล เช่นการพบพระที่หายไปเป็นเวลานาน และสาเหตุที่พบมาจากความฝัน และความฝันกลายเป็นความจริงมีให้พบเห็นอยู่บ่อยๆ ในทางวิทยาศาสตร์ถือว่ามีความเป็นไปได้เมื่อเทียบเคียงกับทฤษฏีควอนตัม ที่มีหลักแห่งความไม่แน่นอน อะไรที่ว่าแน่นอนก็พบว่ามันไม่แน่นอน
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็ได้สร้างสิ่งมหัสจรรย์มากมายหลายอย่าง ยิ่งกว่าจิตวิญญาณในอดีต เหมือนกับเนรมิต สิ่งที่ไม่เคยมีก็มีปรากฏให้เห็นอยู่โดยตลอดเช่นกัน วิทยาศาสตร์ทำให้คนมองทะลุสิ่งกั้นขวางได้ วิทยาศาสตร์ทำให้คนทำในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ อันนี้หมายถึงมนุษย์สร้างเครื่องมือขึ้นมาช่วย เช่นยกของหนักกว่าตัวเองได้นับร้อยเท่า จับหยิบอุปกรณ์ที่เล็กจนมองไม่เห็นได้ สิ่งที่ปกติมนุษย์ทำไม่ได้เช่นบินได้เช่นนก ดำน้ำได้แบบปลา วิทยาศาสตร์จึงเป็นตัวแทนแห่งความเชื่อได้เช่นกัน เพราะคนใช้วิทยาศาสตร์โดยไม่ต้องหาเหตุผลขอให้ทำงานให้ก็แล้วกัน เช่นเดียวกับขับรถยนต์ได้แต่ไม่รู้ว่าทำงานอย่างไรบ้าง
อะไรที่มนุษย์ไม่คุ้นเคยเป็นสิ่งแปลกมหัศจรรย์ เหมือนกับมีพลังเร้นลับ แต่เมื่อหาเหตุผลได้ ศึกษาทำความเข้าใจได้ มีการนำมาใช้จนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ความแปลกความลึกลับจะหายไป ด้วยเหตุผลนี้ ไม่มีอะไรลึกลับ ไม่มีอะไรน่าแปลก ถ้ามีการศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม จนมีระเบียบกฏเกณฑ์ฃัดเจนมากขึ้น ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าความรู้เพิ่มขึ้นทุกวัน วิชาใหม่เกิดขึ้นมากมาย หรือว่ายังมีความลึกลับเกิดขึ้นมากขึ้นเท่าๆ กับที่ความลึกลับลดลง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น