บทความนี้ถอดความจากบทความเมื่อ 5 ปีที่แล้ว Fritjof capra ได้เคยเสนอไว้ในบทความเรื่อง The language of nature ที่ชี้ให้เห็นความท้าทายที่จะสร้างสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ยั่งยืนนั้น ซึ่งทำให้เราพอใจกับกับความต้องการ และความหวังโดยไม่ได้ทำลายหลายหลากหลายของโลกธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ในอนาคต
เขาได้เสนอแนะว่าการจะดูแลให้ชุมชนอยู่กันอย่างยังยืนได้ สามารถเรียนรู้จากระบบนิเวศ ที่พืชสัตว์ และจุลินทรีย์อยู่ร่วมด้วยช่วยกันอย่างผสมกลมกลืน การเข้าใจระบบนิเวศจำเป็นต้องเรียนรู้หลักการพื้นฐานของนิเวศวิทยา นั่นคือภาษาแห่งธรรมชาติ เราทั้งหลายจำเป็นต้องเป็นผู้รู้นิเวศวิทยา (eco-literate) เป็นผู้สำนึกรู้เชิงนิเวศ เราจะต้องคิดในเทอมของความสัมพันธ์ ความเชื่อมโยงและปริบทแวดล้อม ในทางวิทยาศาสตร์ก็คือการคิดอย่างเป็นระบบ โดยคิดให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ระบบนิเวศ และระบบสังคม และเป็นที่รู้กันว่าระบบดังกล่าวจะต้องบูรณาการเป็นองค์รวม ซึ่งคุณสมบัติของระบบทั้งหมดไม่สามารถจะลดรูปลงเป็นส่วนเล็กย่อย
ทฤษฏีใหม่ของระบบสิ่งมีชีวิตคือรากฐานทางทฤษฏีสำนึกรู้นิเวศวิทยา นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าในโลกวัตถุ สุดท้ายแล้วก็เป็นเครือข่ายรูปแบบของความสัมพันธ์ เมื่อมององค์รวมที่เป็นดาวเคราะห์ ก็เป็นเหมือนสิ่งที่มีชีวิต เป็นระบบที่ปรับความสมดุลย์ของตัวเองได้ การมองร่างกายและจิตใจแยกจากกันจะต้องแทนที่ด้วย ไม่เฉพาะสมอง ระบบภูมิคุ้มกัน และเนื้อเยื่อ และแม้แต่ แต่ละเซลก็เป็นสิ่งมีชีวิต รวมทั้งระบบทางความคิด การวิวัฒนาการไม่ได้มองเป็นการแข่งขันเพื่อการอยู่รอดที่จะคงอยู่ แต่อยู่ร่วมกันร่วมมือกันทำร่วมกัน (co-operative dance) ที่ซึ่งการสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งใหม่เป็นแรงผลักดัน
ด้วยทัศนะใหม่ของสำนึกรู้นิเวศวิทยา จะเป็นรากฐานของเทคโนโลยี ระบบเศรษฐกิจและสถาบันทางสังคม เกี่ยวข้องกับทางการศึกษาอย่างลึกซื้ง ต้องการ การสอนที่ให้ความเข้าใจชีวิตที่เป็นศูนย์กลางที่ไม่ให้แปลกแยกไปจากโลกธรรมชาติ จำเป็นต้องมีหลักสูตรที่สอนเด็กๆ ของเราให้เข้าใจความจริงเบื้องต้นของชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น