จากทฤษฎีความไร้ระเบียบ การเกิดจลาจลเผาบ้านเผาเมือง ทุบทำลายและเลือดนองแผ่นดินในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องไร้ระเบียบหรือมีความโกลาหลจนสร้างความเสียหายให้กับประเทศทั้งด้านทรัพย์สินและจิตใจอย่างเหลือคณานับ อย่างไรก็ตามที มีผู้กล่าวว่าในดีมีเสีย ในเสียมีดี เช่นเดียวกันในความไร้ระเบียบ ก็มีความเป็นระเบียบที่จะเกิดขึ้น เป็นโอกาสที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีที่เหมาะสมกว่าเดิม เพราะอะไรหลังจากสงบรำงับลงบ้างแล้วก็จะได้คิดได้ถึงสิ่งที่กระทำลงไปว่าเป็นการทำลายล้างตัวเอง ทำลายส่วนรวมทำลายประเทศเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรือไม่ คงต้องมีการนำกลับไปคิดว่าสิ่งที่ทำผิดถูกอย่างไร ดีเลวอย่างไร เป็นไปตามคำเตือนที่มีมากก่อนแล้วว่า การพัฒนาในโลกเสรีทุนนิยมที่ไม่มีธรรมาภิบาลกำกับอย่างเหมาะสมแล้ว การพัฒนาก็จะเป็นไปในทางที่กลับมาทำลายล้างตัวเอง และนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่ง
ยามนี้ความคิดเชิงบวกและความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่จะต้องมีเพื่อพลิกฟื้นความเชื่อมั่นและศรัธาและอีกหลายๆอย่าง เราต้องมีความเชื่อมั่นว่าประเทศยังเป็นที่น่าอยู่น่าอาศัย และเราต้องช่วยกันให้น่าอยู่น่าอาศัยมากกว่านี้ การที่เรามาอยู่ที่นี่ได้ไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ แต่เป็นความรักความผูกพันธ์ที่มีมาแต่ครั้งเมื่ออดีตที่บรรพบุรุสของเราต้องหลั่งเลือดเพื่อรักษาแผ่นดินนี้ไว้ และเชื่อว่าทุกคนยังหวงแหนแผ่นดินนี้ เพียงแต่ว่าเราหลงผิด มัวเมาด้วยกิเลสตันหา สิ่งที่ทำได้ขณะนี้เพียงแต่เราหันหน้าเข้าหากัน เปิดกว้างที่ยอมที่จะรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลายโดยมองไปที่ผลประโยชน์ส่วนรวม ไม่มองเฉพาะตัวเรา พวกเรา จังหวัดเรา แต่มองทั้งประเทศว่าจะได้อะไร และสร้างอะไรไว้ให้กับโลก
วันนี้เราอาจต้องทบทวนสร้างความเข้าใจระหว่างกัน แบ่งบัน ช่วยเหลือกันไม่แบ่งสีไม่แบ่งชั้น โรงเรียนต้องสอนความเข้าใจหัวใจประชาธิปไตย ให้มีความรักช่วยเหลือแบ่งบัน เข้าใจยอมรับความคิดเห็นที่ต่างกัน และพร้อมรับความเห็นที่ดีกว่าของผู้อื่นว่าเป็นสิ่งถูกต้องด้วยเหตุผลด้วยการพิสูจน์ยืนยัน ด้วยความเห็นพ้องในแน่วทางที่จะก่อให้เกิดความสงบสุข และทนไม่ได้กับผู้ที่จะมาทำลายล้างในสิ่งที่ดีงามที่เรายึดถือ แม้ในระดับมหาวิทยาลัยก็จะต้องมีการสอนวิชาบริการสาธารณะหรือการเรียนรู้จากการให้บริการเพื่อช่วยเหลือแบ่งบันแก่ผู้ด้อยโอกาส ผู้ขาดแคลนทำให้การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นความสุขที่ได้กระทำ และรายวิชาที่จะพึ่งพาตนเอง และช่วยให้ผู้อื่นพึ่งพาตนเองได้
ถึงเวลาแล้วที่เราจะใช้วิกฤตของประเทศให้เป็นโอกาสที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ดีกว่า ด้วยการเปิดกว้าง หันหน้าเข้าหากัน เรียนรู้ร่วมกัน เรียนรู้กันและกันจึงจะพบสิ่งใหม่ โดยมองประโยชน์สาธารณะมากกว่าผลประโยชน์ตัวเอง ในระดับบุคคลเพียงแต่คิดทบทวนว่าเราได้ทำอะไรให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือไม่ หรือเราได้ทำประโยชน์อะไรให้กับโลกบ้าง เพราะว่าไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดแม้กระทำโดยสุจริตถูกต้องกฏหมายก็ตามไม่โดยตรงก็โดยอ้อมก็ยังมีผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเรา บริษัทของเราอาจประสบผลสำเร็จสูงชนะคู่แข่ง ที่อาจทำให้อีกบริษัทล่มจมทำให้คนตกงาน หากเราไม่ช่วยเหลอกันแล้วสุดท้ายเงินสินทรัพย์มากมายเท่าใดก็ไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุขไปได้ เราจะมีความสุขอยู่ได้อย่างไรเมื่อเพื่อนร่วมชาติของเรากำลังตกทุกข์ได้ยาก หรือเราจะเป็นสุขอยู่ได้อย่างไรเมื่อญาติพี่น้องของเราเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน วิกฤติครั้งนี้จึงเป็นโอกาสให้เราได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่จะสร้างสังคมใหม่ที่สดใสกว่าเดิมแน่นอน โดยไม่ลืมที่จะเน้นความยุติธรรมของสังคมไม่ใช่ยุติธรรมที่ผลประโยชน์ส่วนตัว อันเป็นความคิดที่จะช่วยให้คนศรัธาต่อประชาธิปไตย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น