ใครจะหาว่าหนุ่มน้อยเล่าความหลังก็ยอม คิดเสียว่ามีความหลังไว้ย้ำความหวานชื่น มีปัจจุบันและอนาคตด้วยความหวังก็แล้วกัน ยิ่งมองกลับไปมาเท่าใดก็ยิ่งทำให้เราทราบว่าพัฒนาไปข้างหน้ามากเท่าใด
มหาวิทยาลัยเราก็เริ่มตั้งมาได้ครบ 50 ปีในปีนี้ ปีแรกสอนกันที่หอสมุดหน้าเมืองในระดับประกาศนียบัติการศึกษา หรือที่เรียกกันว่า ปกศ.ต้น แล้วจึงย้ายมาอยู่ที่หน้าเขามหาชัยในปัจจุบัน ผมพยามนึกดูสมัยเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัดพระมหาธาตุตอนชั้นประถม 2-3 ก็ราวปี 2502 -2503 สมัยนั้นก็มีนักศึกษาฝึกสอนมาที่โรงเรียนแล้ว ที่ประทับใจมากก็คือการแต่งกายเรียบร้อย ใจดี และประทับใจสื่ออุปกรณ์การเรียนการสอนคือกล่องทีวี เปลี่ยนภาพโดยการหมุนม้วนภาพกระดาษผ่านกล่องที่เจาะเป็นหน้าจอทีวี ทำให้มองเห็นเหมือนภาพเคลื่อนไหว ทำเป็นเรื่องเป็นราวเป็นนิทาน เป็นมโนทัศน์เรื่องใดเรื่องหนึ่งก็มี
ตอนงานกีฬานักเรียนประจำปีทางโรงเรียนฝึกหัดครูก็ส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งคงเป็นรุ่นใหญ่ของนักเรียนเทียบได้กับนักเรียนเตรียมอุดม ม.7-8 สมัยนั้นก่อนที่จะมาเป็น มศ 4-5 และ ม. 4 5 6 ในปัจจุบัน เมื่อเป็นวิทยาลัยสอนถึงระดับ ปกศ.สูง ก็ยังส่งนักกีฬาไปแข่งรวมทั้งในรุ่นประชาชนและเมื่อเปิดสอนถึงระดับปริญญาตรีการเข้าร่วมกีฬาจังหวัดก็เริ่มจางหายไป ไม่ได้ไปร่วมแข่งขันเหมือนเคย
ในช่วงปีแรกๆ ที่ย้ายไปที่หน้าเข้ามหาชัยนั้น ถนนหันทางก็ยังไม่ค่อยดี รถยนต์ก็ยังวิ่งไม่ค่อยสะดวกเวลาข้ามสพานก็ต้องระมัดระวัง ดูเหมือนว่าจะเป็นต้นมะพร้าวมาเรียงๆกันเป็นทางเดินและให้รถวิ่งได้ ก็ลองนึกภาพดู นะครับปัจจุบันช่วงระยะ 50 ปี ได้พัฒนามาถึงขนาดนี้แล้ว ปัจจุบันอนาคตคงจะต้องพัฒนากันต่อไป ด้วยความหวังที่จะเดินไปข้างหน้าให้ทันโลกต่อไป
ตามที่หวังจะเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ เป็นเลิศทางภูมิปัญญาดังที่ตั้งวิสัยทัศน์กันไว้ พื้นฐานคงต้องเป็นองค์กรการเรียนรู้ และต้องจัดการความรู้ให้ได้การเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัญหาข้อบกพร่องทั้งหลายก็เกิดขึ้นจากการบกพร่องในการเรียนรู้ เรียนรู้ที่จะสร้างความรู้ใหม่ เรียนรู้เพื่อเอาความรู้ของเราและของคนอื่นมาใช้ เรียนรู้เพื่อที่จะทำงานให้ได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ และต้องเรียนรู้ให้เป็น จึงจัดได้ว่าเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่จะทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น