ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมกับการประชุมเพื่อรับทราบปัญหาของอบต.ท่างิ้วที่จะนำไปสู่การเขียนโครงการวิจัยเพื่อแก้ปัญหา ตามโครงการ ABC... โดยมีผู้นำในท้องถิ่นครู ผู้อำนวยการโรงเรียน พระภิกษุสงฆ์ และพี่น้องมุสลิม ข้าราชการ ผู้เกษียรอายุราชการ จากการประชุมที่นำโดยนายกอบต.ร่วมกับศูนย์วิจัย มีหลายประเด็นที่น่าสนใจที่สะท้อนให้ทราบถึงปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฏของเรา และชาวบ้านทั่วไปมีความคาดหวังต่อมหาวิทยาลัยของเราสูงมาก
ปัญหาที่มีการนำเสนอทั้งในเรื่องปากท้อง ปัญหาสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพสิน ปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ ปัญหานาร้าง หนูชุกชุม รื้อฟื้นยากลำบาก มีน้ำเสียจากแหล่งชุมชนมหาวิทยาลัย การเก็บขยะ การขับขี่รถผิดกฏจราจร การแต่งกายและความประพฤติไม่เหมาะสมของนักศึกษา และปัญหาคุณธรรมจริยธรรม ขาดพิธีกรสำหรับพิธีทางศาสนา แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์กำลังจะแห้งเป็นต้น
บางอย่างที่ชาวท่างิ้วได้นำเสนอนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาแต่เป็นเรื่องที่ต้องการพึ่งตนเองช่วยเหลือตนเอง การรวมกลุ่มกันของผู้เกษียรเป็นชมรมผู้สูงอายุเพื่อดูแลกันเองระหว่างสมาชิก การรื้อฟื้นนาร้าง และการปลูกพืชปลอดสารพิษเลิกใช้ปุ๋ยเคมี ต้องการถนนเข้าไปที่หมู่ 5 ที่มีน้ำตกเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวก็ดี ที่กล่าวมานั้นถือว่าเป็นการริเริ่มที่เป็นจุดแข็ง บางอย่างก็ถือว่าเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม เป็นมรดกไว้ให้ลูกหลาน และเป็นวัฒนธรรมที่สร้างคุณภาพชีวิต ทั้งปัญหาที่มีอยู่และทั้งที่เป็นการริเริ่มรวมกลุ่มโดยชาวบ้านเองนั้น มหาวิทยาลัยสามารถที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมทางวิชาการสนับสนุนส่งเสริมไม่ว่ารูปแบบใดรูปแบบหนึ่งได้ทั้งสิ้น
ความพยายามที่จะรื้อฟื้นนาร้างซึ่งได้ริเริ่มมาบ้าง แต่ก็มีปัญหาสำหรับนาร้างทำให้หนูชุกชุมขึ้นต้องหาวิธีขจัดมิฉะนั้นจะปลูกอะไรไม่ได้ และยังมีแนวคิดว่าจะชื้อรถไถนารวมเพื่อใช้ร่วมกัน และก็มีบางคนก็เสนอว่าควรจะใช้วัวควายในการไถนาถึงจะดี เป็นการอนุรักษ์นิยม และมูลสัตว์นำมาทำปุ๋ยอินทรีย์ต่อได้ พระคุณเจ้าก็พูดสนับสนุนว่า เออ..จะได้เป็นข้าวไทย 100 % เพราะมองว่ารถไถเป็นของต่างประเทศ ผู้เขียนก็เห็นว่าถ้าคิดแบบนี้คงต้องเลิกใช้เทคโนโลยีทุกอย่างถ้าอยากเป็นไทย 100 %
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พระคุณเจ้ารูปหนึ่งได้กล่าวว่าถ้ามหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ชิดกับชุมชนไม่สามารถจะช่วยชาวบ้านให้ลืมตาอ้าปากได้ หรือทำให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดีไม่ได้ถือว่ามหาวิทยาลัยไม่มีน้ำยา ผมเชื่อว่าชาวบ้านคงไม่ได้คาดหวังว่ามหาวิทยาลัยจะช่วยได้ทั้งหมดแต่คิดว่าแค่มีส่วนในการร่วมคิด ร่วมแก้ปัญหา เข้าใจปัญหา และทำอย่างหนึ่งอย่างใดเท่าที่จะทำได้ผมคิดว่าเราก็จะเป็นมหาวิทยาลัยอยู่ในใจของชาวบ้านแล้ว ที่ต่างก็ช่วยเหลือกันและกัน ชาวบ้านก็ช่วยมหาวิทยาลัยในบางลักษณะและมหาวิทยาลัยก็ต้องช่วยชาวบ้านในฐานะผู้นำทางปัญญาชี้นำสังคมได้ก็ด้วยอาศัยวิชาการที่มหาวิทยาลัยสร้างสมไว้ และขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยก็ไปเรียนรู้จากชาวบ้านซึ่งมีภูมิปัญญาอยู่เยอะ
ปัญหาที่เหมือนกับว่ามหาวิทยาลัยถูกกล่าวหาว่าเป็นแหล่งน้ำเสีย ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาในการทำกินของชาวบ้านนั้นเรื่องนี้ต้องพิสูจน์ยืนยันด้วยวิชาการด้วยความรู้ ถ้าตามความรู้สึกของผมก็ไม่คิดว่าจะมีน้ำเสียออกจากมหาวิทยาลัยสักเท่าไหร่เลย เพราะเดินไปดูน้ำทิ้งออกไปตามคูน้ำหน้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ได้มีกลิ่นเหม็นอะไร แต่ที่ดูนั้นเพียงวันเดียววันอื่นไม่ได้ไปดูก็ยังยืนยันไม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น