จากงานวิจัยเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงของคนไทยจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” โดยนางวรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ จากการสำรวจทัศนคติเด็กและเยาวชนในโรงเรียน 38 โรงเรียน จำนวน 4200 คน (2548) ได้ข้อสรุปว่า
“การคอร์รัปชั่นเป็นวัฒนธรรมที่ไม่อาจแก้ได้” มีความเชื่อ 34 %
“การให้สินบนแก่ข้าราชการไม่ใช่เรื่องเสียหาย” เลือกเชื่อถึง 45%
“โกงได้ แต่ต้องมีผลงานออกมาบ้าง” มีความเชื่อถึง 51%
ตอนที่ได้ยินข้อมูลนี้ทางสื่อมวลชนต่างๆ ก็รู้สึกตกใจว่าสังคมเราเปลี่ยนแปลงไปมากถึงขั้นนี้แล้วหรือ การที่เด็กเลือกตอบเช่นนั้น ผู้เขียนเชื่อว่าคงได้รับการซึมซับจากผู้ใหญ่ จากผู้ปกครองที่ใกล้ชิดไม่น่าจะเกิดจากความคิดของเด็กเพียงอย่างเดียว ในทางสถิตินั้นถ้าเราขยายกลุ่มตัวอย่างนี้ออกไปยังประชากรทั้งหมดก็น่าตกใจถึงช็อคได้ ถ้าหากว่าวิจัยนี้เชื่อถือได้ 100 เปอร็เซนต์นั้น ก็จะตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากว่า ผู้ปกครองไม่ว่า พ่อแม่ พี่ ป้าน้า อาก็ทำอาการคอร์รัปชั่นตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ ไปถึงคอร์รัปชั่นใหญ่ และคิดว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยไม่เป็นไรใครๆ ก็ทำ แถมยังรู้สึกเป็นบุญคุณอีกด้วย ความคิดเหล่านี้ต่างหากที่ถ่ายทอดไปยังเด็ก ถ้าผู้เขียนกะประมาณ ก็มีผู้คอร์รับชั่นมากบ้างน้อยบ้างกระจายทั่วประเทศน่าจะมากกว่า 50 เปอร์เซนต์ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสังคมเรากำลังล่มสลายถ้าแก้ไขไม่ทัน
ถ้ากลไกของรัฐไม่สามารถจะหยุดยั้งคอร์รัปชั่นได้ หรือรัฐบาลหรือคนในรัฐบาลเป็นตัวการสำคัญที่คอร์รัปชั่นเสียเองแล้ว เป็นตัวอย่างที่ทำให้องค์กรในระดับอื่นๆ รวมทั้งระดับบุคคลอยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการคอร์รัปชั่นต่อไปเรื่อยๆ ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่แปลกแยกมีความเหลื่อมล้ำ มีความขึ้โกง สำส่อน ใฝ่ต่ำ มีความนิยมต่างประเทศมากขึ้น เพราะหาความดีจากตัวเองได้ยาก แนวโน้มเป็นวัตถุนิยมมากขึ้น บูชาความร่ำรวย เป็นครอบครัวแบบนิวเคลียร์หรือเดี่ยวมากขึ้น อบยพเข้าสู่ตัวเมืองมากขึ้น การพัฒนาเศรษฐกิจก็ทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น