ความเข้าใจเกี่ยวกับองค์รวมและการแยกส่วนนั้น ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่าง การจะบอกว่าอะไรเป็นการแยกส่วน อะไรเป็นองค์รวมนั้นเราจะพิจารณาที่ความสัมพันธ์ว่าสิ่งที่พิจารณาศึกษา สิ่งที่สนใจ สิ่งที่นำมาคิดอยู่ในประเด็นเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นๆ กันอย่างไรให้ครอบคลุมมากที่สุดที่จะให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด
การมองแบบแยกส่วนแบบกลศาสตร์นิวตัน ที่มองทุกอย่างเป็นเครื่องจักรกลอธิบายและทำนายได้ด้วยกฏของนิวตัน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุที่ใหญ่หรือเล็กย่อยเพียงใดก็สามารถอธิบายได้ด้วยกฏของนิวตัน เป็นปฐมบทที่นำไปสู่การคิดแบบแยกส่วนที่ทำให้เหมือนกับไม่ได้มองถึงผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อยากทำระบบหนึ่งให้ดี เยี่ยมแต่ก็ไปทำให้ระบบรอบข้างเสียหาย ดังที่เราประสบกับการพัฒนาแบบแยกส่วนในปัจจุบัน ที่เราพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจเน้นจีดีพี มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจดี แต่ผลกระทบก่อให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างรุนแรง และทำลายคุณธรรมจริยธรรมอันดีงามไป แนวคิดเรื่ององค์รวมจึงเกิดขึ้นว่าเราจะต้องมองให้รอบด้าน ให้รอบคอบให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ ให้น้อยที่สุด
ความจริงในกฏความโน้มถ่วงของนิวตันที่คิดให้สสารทุกชนิดดึงดูดซึ่งกันและกัน เหมือนกับโลกดึงดูดเราและเราก็ดึงดูดโลกเท่าๆกัน มีลักษณะเป็นองค์รวมแต่ในทางปฏิบัติไม่สามารถที่จะคิดให้ละเอียดสมบูรณ์ได้ ขณะที่เราวัดน้ำหนักที่เป็นแรงดึงดูดของโลกที่กระทำต่อเรานั้น แรงจากวัตถุสารอื่นๆในจักรวาล ก็มีผลกระทบต่อแรงโน้มถ่วงของโลก แต่เราถือว่าน้อยมากตัดทิ้งได้ไม่นำมาคิดทุกองค์ประกอบ ซึ่งต่อมามีทฤษฎีที่มององค์รวมมากกว่าคือทฤษฎีสัมพันธภาพและทฤษฎีควอนตัม ที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสสารขนาดใหญ่มากและเล็กมากได้ดีกว่าทฤษฎีของนิวตัน แต่ในโลกปัจจุบันเราก็ยังไม่ได้เลิกการใช้กฏนิวตัน เพราะส่วนใหญ่การวัดในชีวิตประจำวันได้ละเอียดถูกต้องเพียงพอและใช้ได้สะดวกกว่าในทางปฏิบัติ
ดังนั้นเราสามารถที่จะแยกส่วนที่จะศึกษาเป็นหน่วยวิเคราะห์ แต่มองสิ่งแวดล้อมแบบองค์รวมที่ดูถึงผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดปัญหาได้ เปรียบเหมือนกับการที่เราใช้รถยนต์นั่งเพื่อเดินทาง แต่ไม่ใช้รถไถนาในการเดินทาง หรือเราใช้สิ่วในการแกะไม้จะนำไปใช้แทนฆ้อนไม่ได้ จะเห็นว่าหน่วยวิเคราห์เรื่องใดเรื่องหนึ่งจะเหมาะสมกับเงื่อนไขในบริบทหนึ่งๆ ไม่ใช่สร้างเครื่องมือชนิดหนึ่งแล้วใช้ได้กับทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเรียกว่าเป็นองค์รวม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น