หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การศึกษาเพื่อสันติภาพหรือเพื่อทำลายล้าง

สมัยที่ผู้เขียนเป็นนักศึกษาอยู่ขณะที่อยู่ในช่วงการทำวิจัยกันอยู่ ก็ได้ลองสอบถามเพื่อนต่างคณะว่าทำวิจัยอะไรกันบ้าง เพื่อนที่เรียนวิศวะอยู่ ก็เล่าให้ฟังว่าเข้าได้รับทุนจากกระทรวงกะลาโหมสหรัฐให้ทำวิจัยเรื่องการใช้เรดาห์ ยิงจากเครื่องบินมายังภาคพื้นดินเพื่อค้นหาลูกระเบิดและกับระเบิดที่ยังไม่ทำงาน เพื่อจะนำไปใช้ค้นหากับระเบิดที่ฝังไว้ตามที่ต่างๆ ในกำพูชา เพื่อจะได้ทำลายเสียไม่เป็นอันตรายกับผู้คนที่อาจจะไปเหยียบ แต่อีกด้านหนึ่งนั้นก็ใช้เพื่อทางทหาร เพราะนอกจากจะหากับระเบิดลูกระเบิดแล้วอาจมองหา ปืนใหญ่ รถถัง เครื่องบินรบที่หลบซ่อนอยู่ แม้แต่อยู่ใต้ดินก็สามารถเจอได้ โดยทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์สามารถจะแยกแยะวัตถุได้ทันที ใครมีเทคโนโลยีย่อมได้เปรียบที่จะทำลายอาวุธยุทโธปกรณ์ฝ่ายตรงข้ามได้


การศึกษาที่สอดคล้องต้องกันกับงานวิจัยดังกล่าวก็คือการสำรวจพื้นที่เหนือทะเลทรายประเทศอียิปต์ด้วยเรดาร์ จากการวิเคราะห์ภาพจากรังสีเอ็กซ์ที่สะท้อนมาทำให้บอกได้ว่ามีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ แทนที่จะเป็นชั้นหินที่เคยเชื่อกันมาเดิมๆ จากนั้นก็ได้มีโครงการนำน้ำมาใช้ในทางเกษตรที่จะเปลี่ยนพื้นทะเลทรายเป็นพื้นที่สีเขียว ได้มีการขุดเจาะนำน้ำมาใช้ได้เป็นจริงในปี 1987 สำหรับเนื้อที่ประมาณหมื่นไร้จะใช้ได้ถึง 200 ปีทีเดียว นับเป็นเรื่องที่นำมาใช้เพื่อสันติ

อีกกรณีหนึ่งก็คือการนำพลังงานนิวเคลียร์ให้เกิดประโยชน์ในทางสันติ หลังจากที่เอนริโก เฟอร์มิได้สร้างเตาปฏิกรนิวเคลียร์สำเร็จเป็นครั้งแรก (เตาปฏิกรนิวเคลียร์ก็คืออาณาบริเวณที่ให้เกิดปฏิกริยานิวเคลียรและสามารถมารถควบคุมการเกิดปฏิกิริยาได้) ได้มีการนำมาใช้ในทางสันติอธิเช่น โรคไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เรือเดินสมุทรพลังงานนิวเคลียร์ และถ้ายังจำกันได้ด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะสร้างระเบิดนิวเคลียร์หรือปรมาณูได้ก่อน ไอน์สไตย์เป็นผู้ผลักดันให้อเมริกาสร้างระเบิดนิวเคลียร์ให้ได้ก่อนฝ่ายตรงข้าม เพราะตระหนักถึงอนุภาคอันร้ายแรงในการทำลายล้างและสามารถกระทำได้สำเร็จตอนปลายสงครามโลกครั้งที่2 และได้นำไปทิ้งที่ประเทศญี่ปุ่นที่เมือง ฮิโรชิมาและนางาซากิเพื่อทำให้สงครามยุติเร็วขึ้น อย่างไรก็ตามนับเป็นการทำล้ายล้างที่รุนแรง ผู้บริสุทธิ์ต้องรับเคราะห์ทุกทีไป

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีมากเท่าใดก็ก่อให้เกิดผลเสีย ผลกระทบในทางที่ไม่ดี หรือทำให้มีการทำลายล้างกันมากเช่นกัน การศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ นั้นในส่วนที่ดีก็ช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตให้ทำงานต่างๆ ได้สะดวกและง่ายขึ้น (แต่ในความเป็นจริงมนุษย์กำลังดำเนินชีวิตจากสิ่งที่เรียบง่ายให้ซับซ้อนขึ้น เช่นชีวิตในเมืองย่อมซับซ้อนกว่าชีวิตในชนบท) แต่ขณะเดียวกันเมื่อนำไปใช้ในทางที่ผิดก็ก่อให้เกิดโทษมหันต์เช่นกัน การศึกษาที่ถูกที่ควรควรเป็นไปในแนวทางที่ไม่สร้างความแตกแยก ไม่ทำลายล้าง แต่ควรจะส่งเสริมให้โลกเกิดสันติภาพ ถ้าการศึกษาไม่ได้ช่วยให้มนุษย์เกิดสันติภาพมากกว่าการทำลายล้างแล้ว สักวันหนึ่งก็จะถึงจุดจบของมวลมนุษยชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น