เคยมีคำถามอยู่ในใจเสมอว่าทำไมจึงมีความขัดแย้งกันระหว่างชาติตะวันตกและตะวันออกกลางในโลกอาหรับ และเห็นความเป็นไม้เบื่อไม้เมากันระหย่างยิวและอาหรับ ทั้งๆที่ว่าไปแล้วทั้งศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามมีที่มาจากรากฐานทางศาสนาเหมือนกับจากอับราอัมหรืออีบราฮีม การจะเข้าใจปัญหาที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันนั้นทำให้เราต้องเรียนรู้ประวัติสาสตร์ที่ผ่านมาจึงจะเข้าใจถึงสถานะการที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน
ศาสนาคริสต์เจริญงอกงามขึ้นในโลกตะวันตกคือในสมัยกรีกและโรมัน ขณะที่ศาสนาอิสลามเติบโตขึ้นมาในทะเลทรายอาหรับ จะเห็นพื้นฐานบริบทสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ขณะที่ศาสนาคริสต์พัฒนามาจากสมัยกรีกโรมันนั้นพระเจ้ามีสามภาคคือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต ที่แปลกแยกไปจากแนวคิดดั้งเดิมแบบยิวไปมากตั้งแต่การปรากฏของพระเยซู และครอบคลุมยุโรปส่วนใหญ่ ขณะที่ศาสนาอิสลามยังคงรักษาสภาพตามความเชื่อดั้งเดิม โดยพระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น โดยมีพระนบีมุฮัมมัดประกาศอิสลาม ปฏิวัติ ปฏิรูปสังคมในคริสต์ศตวรรษที่ 7
ในสมัยกลางเริ่มในช่วงศตวรรษที่ 6-7 ไปจนถึงศตวรรษที่ 15-16 ในช่วงเวลา 1000 ปีหรือเรียกอีกอย่างว่ายุคมืดของศาสนาคริสต์ ที่ศาสนจักรมีอำนาจมาก จะต้องเชื่อความคิด หลักเกณฑ์ของศาสนจักรเท่านั้น ผู้คนไม่สามารถที่จะคิด สงสัยได้อย่างเสรี ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และสังคมหยุดชงักสงบนิ่ง และเมื่อเกิดสงครามศาสนาที่เรียกว่าสงครามครูเสด (Crusades) ราวคริสต์ศตวรรษที่ 11-13 กองทัพยุโรปที่เข้าไปรุกราณโจมตีตะวันออกกลาง ได้พบว่าในโลกอาหรับนั้น วิถีชีวิต สังคมเจริญก้าวหน้า วิทยาศาสตร์ ศิลปวิทยา ในขณะนั้นชาวมุสลิมได้แยกความรู้ตามคัมภีร์อับกูรอ่าน และความรู้ทางโลกออกจากกัน มีความคิดอิสระ หรือการศึกษาเสรี วัฒนธรรมอิสลามก้าวหน้าสูงส่งกว่า ที่ให้ความคุ้มครองศาสนาอื่นที่อยู่ในดินแดนมิสลิม ขณะที่สังคมคริสต์ยุคเดียวกันถ่ายทอดการปกครองแบบเผด็จการจากกรีกและโรมันมา สงครามนี้ได้ก่อให้เกิดการถ่ายทอดทางศิลปวิทยาจากอาหรับไปสู่ตะวันตก
แต่แล้วอย่างไม่คาดคิดในคริสต์ศตวรรษที่15 ที่ฝ่ายมุสลิมอันมีผู้นำศาสนาได้เริ่มที่มีแนวคิดที่ปิดกั้นความคิดเสรีโดยให้เชื่อทุกอย่างตามคำสอนที่คัมภีร์ระบุไว้เป็นสิ่งที่สมบูรณ์แล้ว ขณะที่ฝ่ายคริสตจักรเริ่มมีผู้ไม่เห็นด้วยในการปิดกั้นความคิดเสรี นำโดยกาลิเลโอในโลกตะวันตก จากแนวคิดที่ว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล แล้วหลังจากนั้นมีการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญรุดหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง อย่างไม่อาจสกัดกั้นได้ ขณะที่ผู้นำในโลกมุสลิมได้ถอยกลับไปสู่อดีตมากขึ้นจนไม่อาจสร้างสรรค์ความคิดใหม่ทางศิลปวิทยาการจนเป็นสาเหตุให้ล้าหลังโลกตะวันตก และถูกเอารัดเอาเปรียบกลายเป็นประเทศโลกที่สาม ชาวมุสลิมต้องสูญเสียความเป็นผู้นำในการคิดค้นคว้าในทุกสาขา ส่วนข้อดีทำให้สังคมมุสลิมมีแบบแผนวิถีชีวิตที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวมีความชัดเจน เห็นความงดงาม ความดีงามตามคัมภีร์ และอาจตีความไปใช้ประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งได้ง่าย
ในโลกตะวันตกนั้นยังมีความเชื่อต่อมาว่าความคิดเสรีจะนำมาสู่ความสงบสุข โลกที่ดีกว่า ขณะเดียวกันผลความก้าวหน้าทั้งหลายก็ยังคงนำไปสู่การทำลายล้างเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลก และสงครามต่างๆ หรือก่อให้เกิดพิษภัย มลภาวะที่ยังเกิดขึ้นในส่วนต่างๆของโลก ปล่อยให้มีการละเมิดศิลธรรมอันดีเกิดขึ้นได้ง่าย การหลงมัวเมาในอบายมุขต่างๆ ทำให้เข้าใจไปว่าโลกตะวันตกก็เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ที่โลกมุสลิมปฏิเสธมาตลอด โดยโลกอิสลามก็มองว่าเป็นโลกแห่งสันติภาพ และมองโลกนอกอิสลามว่าเป็นโลกแห่งความขัดแย้ง ที่อาจทำให้เข้าใจไม่ลงรอยกันได้
ถ้าว่าไปแล้วโลกตะวันตกก็รับเอาแนวคิดเสรีจากโลกอาหรับในสมัยกลางที่แยกรัฐจักรออกจากศาสนจักร ที่ทำให้ศิลธรรมและศรัธาเป็นเรื่องส่วนตัวที่รัฐไม่ได้บังคม ส่วนโลกมุสลิมนั้น รัฐจักรและศาสนจักรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รัฐจึงต้องมีกฏข้อบังคับในเรื่องศิลธรรมและศรัธาที่จะต้องควบคุม
ในโลกตะวันตก ปัญหา ความผิดพลาดความล้มเหลวอาจตั้งข้อสงสัยได้ว่ามาจากความบกพร่องของคัมภีร์ไบเบิล และทำให้ความเชื่อถือในคัมภีร์ลดน้อยลง ในโลกอิสลาม ชาวมุสลิมนั้นส่วนใหญ่ยังถือว่าความผิดพลาดในสังคมนั้นเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามคัมภีร์อัลกุรอานซึ่งบัญญัติขึ้นในคริสตศษวรรษที่ 7ที่มองว่ามีความสมบูรณ์ดีงาม เมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียดไม่ว่าสังคมคริสต์ มุสลิมต่างก็มีปัญหาของตนเองทังภายในประเทศระหว่างประเทศ ยังมีการเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ขูดรีด จะเห็นว่าต่างก็มีข้อดีข้อเสีย แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งโลกของชา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น