ความเชื่อในเรื่องโชคลางอย่างขาดเหตุผล กลายเป็นสิ่งงมงาย กลายเป็นความเชื่อในอำนาจลึกลับของบางสิ่งบางอย่าง เช่นเทพเจ้าดวงดาว แม่น้ำ หรือกระทั่งอำนาจฤกษ์ยาม พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธอำนาจลึกลับเหล่านี้ แล้วทรงสอนให้เชื่อกฏแห่งกรรมคือการกระทำตามหลักเหตุผลเท่านั้น
เกี่ยวกับดวงดาวมีคำสอนไว้ว่า ผลประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนพาลผู้มัวคำนวณฤกษ์อยู่ไป ผลประโยชน์นั้นแล คือฤกษ์ดีในตนเอง ดวงดาวทั้งหลายจักทำอะไรได้
เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำ และท่าน้ำบางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า คนพาลมีกรรมอันเป็นบาป แล่นไปยังแม่น้ำพาหุกา ท่าน้ำอธิกักกะ ท่าน้ำคยา แม่น้ำสุนทริกา แม่น้ำสรัสสวดี ท่าน้ำปยาคะแม้เป็นนิตย์ ก็บริสุทธิ์ไม่ได้ แม่น้ำดังกล่าวจักทำอะไรได้ จะชำระนรชนผู้มีเวร ทำกรรมอันหยาบช้า ผู้มีกรรมอันเป็นบาปนั้นให้บริสุทธิ์ไม่ได้เลย คุณฤกษ์ย่อมถึงพร้อมแก่บุคคลผู้หมดจดแล้วทุกเมื่อ...ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงอาบในคำสอนของเรานี้เถิด จงทำความเกษมในสัตว์ทั้งปวงเถิด ถ้าท่านไม่กล่าวคำเท็จ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ถือเอาวัตถุที่เขาไม่ให้ มีศรัทธา ไม่ตระหนี่แล้วไซร์ ท่านจักต้องไปยังท่าน้ำคยา และอื่นๆ ทำไม การดิ่มน้ำดังกล่าวจักทำอะไรให้ท่านได้
....จากวัตถูปมสุตร มู.ม 12/98/20)
เกี่ยวกับฤกษ์ยาม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี...ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสัตว์เหล่าใด ประพฤติสุจริต ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลาเช้า..ในเวลาเที่ยง..ในเวลาเย็น... เวลาเช้า...เที่ยง.. เย็น ก็เป็นเวลาที่ดีของสัตว์เหล่านั้น (สุปุพพัณหสูตร ติ.อ. 20/595/378)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น