ความท้าทายในปัจจุบันคือการสร้างสรรค์ชุมชนที่ยั่งยืน นั่นคือสังคมวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ซึ่งเรามีความพึงพอใจตามความต้องการและความหวังโดยไม่ได้ทำให้ความหลากหลายที่ผสมผสานกันเป็นโลกธรรมชาติถูกทำลายให้ลดน้อยถอยลง ที่ซึ่งจะเป็นโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ในอนาคต
ในความพยายามที่จะสร้างสรรค์บำรุงชุมชนให้ยั่งยืนได้นั้น เราสามารถเรียนรู้บทเรียนอันมีค่าจากระบบนิเวศ ซึ่งได้แก่ชุมชนที่ยั่งยืนของพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ เพื่อที่จะให้เข้าใจระบบนิเวศเราจำเป็นต้องเรียนรู้หลักการพื้นฐานของนิเวศวิทยา นั่นคือภาษาแห่งธรรมชาติ เราทั้งหลายจำเป็นต้องเป็นผู้รู้นิเวศวิทยา (eco-literate) เราจะต้องคิดในเทอมของความสัมพันธ์ ความเชื่อมโยง และปริบทแวดล้อม ในทางวิทยาศาสตร์ แนวทางใหม่ของการคิดที่รู้จักกันในนามการคิดอย่างเป็นระบบ (systematic thinking) โดยคิดให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย กับระบบนิเวศ และระบบสังคม และเป็นที่รู้กันว่าระบบทั้งหมดเหล่านี้จะต้องบูรณาการเป็นองค์รวม ซึ่งคุณสมบัติของระบบทั้งหมดไม่สามารถจะลดรูปลงเป็นส่วนเล็กย่อย
การคิดอย่างเป็นระบบได้ยกระดับขึ้นไปสู่ระดับใหม่ในช่วง 30 ปีมานี้ โดยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ที่มีความซับซ้อน เกี่ยวข้องกับภาษาคณิตศาสตร์ใหม่เกือบทั้งหมด และชุดของมโนทัศน์ เพื่ออธิบายความซับซ้อนของระบบสิ่งมีชีวิต
การก้าวเข้ามาของทฤษฏีใหม่ของระบบสิ่งมีชีวิตคือรากฐานการรู้นิเวศวิทยา (ecological literacy) แทนที่จะมองจักรวาลเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ประกอบด้วยองค์ประกอบของโครงสร้างพื้นฐาน นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าในโลกวัตถุ สุดท้ายแล้วก็คือเครือข่ายในรูปแบบของความสัมพันธ์ที่แยกออกจากกันไม่ได้ นั่นคือดาวเคราะห์ โลกเป็นเหมือนสิ่งที่มีชีวิต เป็นระบบที่ปรับความสมดุลย์ของตัวเองได้ การมองร่างกายมนุษย์เป็นเหมือนเครื่องจักร และมองจิตใจเป็นส่วนที่แยกออกไป จะต้องแทนเป็นอีกแบบที่ไม่เพียงเฉพาะสมองเท่านั้นแต่ยังรวมถึงระบบภูมิคุ้มกัน เนื้อเยื่อ และแม้แต่แต่ละเซลก็เป็นระบบของสิ่งมีชีวิตและระบบความคิด การวิวัฒนาการไม่ได้มองเป็นการแข่งขันเพื่อการอยู่รอดที่จะคงอยู่อีกต่อไป แต่ค่อนข้างที่จะพึ่งพาอาศัยร่วมมือกัน (co-operative dance) ที่ซึ่งการสร้างสรรค์และการปรากฏของสิ่งใหม่ๆ เป็นแรงผลักดัน
ด้วยทัศนะใหม่ของความจริงแท้ที่ได้จากการรู้นิเวศวิทยา จะกลายเป็นรากฐานทางเทคโนโลยี ระบบเศรษฐกิจและสถาบันทางสังคมในอนาคต เป็นที่ชัดแจ้งว่าสิ่งนี้ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับทางการศึกษาอย่างลึกซื้งในศตวรรษที่ 21 คงจะเป็นประสบการณ์ของการเรียนรู้ที่จะเอาชนะสิ่งแปลกแยกไปจากโลกธรรมชาติ จำเป็นต้องมีหลักสูตรที่สอนเด็กๆ ถึงความจริงอันเป็นรากฐานของชีวิตที่ของเสียจากสปีชีหนึ่งเป็นอาหารให้อีกสปีชีหนึ่ง ในเรื่องนี้เป็นวงจรอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยเครือข่ายของสิ่งมีชีวิต (Web of life)
ซึ่งพลังงานจากดวงอาทิตย์เป็นตัวขับเคลื่อนทางนิเวศทั้งหมด นั้นความหลากหลายที่ยืนยันถึงลักษณะที่ดี ที่ชีวิตจากเริ่มต้อนมากกว่า 3 พันล้านปีมาแล้วไม่ได้เข้ายึดดาวเคราะห์โลกโดยการต่อสู้รบราฆ่าฟันกัน แต่โดยการเชื่อมต่อเป็นเครือข่าย การสอนความรู้ใหม่เช่นนี้ที่ซึ่งเป็นภูมิปัญญาโบราณ จะเป็นบทบาทที่สำคัญที่สุดทางการศึกษาในศตวรรษต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น