หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิทยาศาสตร์ VS ไสยาศาสตร์

ความเชื่อและศรัธาบางครั้งก็สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกันความเชื่อและศรัธาในวิทยาศาสตร์ก็สร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมากมายในโลกปัจจุบัน ศาสตร์หลายอย่างที่ยังอธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ยังไม่เป็นที่ยอมรับเป็นทางการ แต่เมื่ออธิบายได้ก็กลายเป็นวิทยาศาสตร์ไป เมื่อก่อนใครหูทิพย์ตาทิพย์ถือเป็นผู้วิเศษ หรือใครทำอะไรได้มากกว่าคนปกติก็ถูกมองว่าเป็นแม่มด หมอผีบ้าง กาลิเลโอก็เคยต้องโทษถึงขั้นจะถูกเผาทั้งเป็นเพราะรู้มากกว่าคนอื่น มีตาทิพย์เห็นรายละเอียดผิวดวงจันทร์ได้ขณะที่คนอื่นไม่มี ที่ทำได้เช่นนั้นก็เพราะมีเครื่องมือดี ปัจจุบันวิทยาศาสตร์มีเครื่องมือดีกว่านั้นอีก คือสามารถมองเห็นได้แม้แต่ในที่มืด หรือถ้าในสภาพปกติ มองเห็นได้โดยไม่เห็นเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็หมายถึง มองเห็นคนเปลือยนั่นเอง ขณะนี้จะเอามาใช้งานตรวจหาวัตถุอันตรายในตัวคนในสนามบินกันแล้ว


ปรากฏการหลายอย่างที่ยังอธิบายได้ไม่ชัดเจนกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ถ้าใครสามารถควบคุมให้เกิดได้ตามอำเภอใจได้ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมือนเดิมและจำลองการเกิดได้อีกก็ก็จะกลายเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ แต่อย่างไรก็ตามคนก็ยังมีความเชื่อในสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ แม้ว่าโรงพยาบาลทั้งหลายจะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการรักษาคนไข้ แต่วิธีการรักษาทางวิทยาศาสตร์เองก็ใช่ว่าจะรักษาให้หายขาดได้ทุกโรค บางโรคได้แค่บรรเทา ฉะนั้นคนที่มีความเชื่อศรัธาว่าวิธีการอื่นที่ไม่ใช้วิทยาศาสตร์ก็อาจรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งก็เหมือนกันที่ว่า หายบางไม่หายบ้างไม่ใช่ทุกรายไป

อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่เริ่มมีการยอมรับกันทั้งสองฝ่ายทั้งไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่การรักษาจะต้องเอามิติของด้านจิตใจเข้ามาด้วยทำให้จิตใจสงบแล้ว ลดความเครียดลงได้ทำให้การรักษาได้ผลดีมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเคยมีปรากฏการณ์ที่โรงพยาบาลไม่รับรองในการรักษาให้หายแล้วกลับไปรักษาทางการนั่งสมาธิ ทำให้ยืดอายุการตายไปได้อีกนานกว่าที่หมอปัจจุบันทำนายไว้ ด้วยเหตุนี้ประเด็นการทำจิตให้สงบ ไม่มีความเครียด การอุทิศตนเพื่อคนอื่นแทนซึ่งได้ผลในทางได้รับความสุขทางใจ ที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ยืดอายุผู้ที่เป็นโรคที่รักษาไม่ได้แล้วกลับดำรงอยู่ได้ต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น